บุกตลาดอาเซียนด้วยธุรกิจความงามไทย

ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและดูแลตัวเองเพื่อให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ธุรกิจด้านความสวยความงาม และเครื่องสำอางต่างๆ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายต่อหลายแบรนด์ต่างพากันคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค พร้อมงัดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งไม่ใช่แค่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศอีกด้วย

ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางไทย ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านรอบอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย ผู้บริโภคของประเทศเหล่านี้ค่อนข้างให้ความเชื่อมั่นกับสินค้าไทย และกว่า 40% บนชั้นวางเครื่องสำอางของพวกเขาล้วนเป็นสินค้าที่มาจากประเทศไทยนั่นเอง

โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดความงามของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปีนั้น เป็นเพราะผู้เล่นในตลาดมีการแข่งขันกันสูง ก่อให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มตัวเลือกให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น ซึ่งในปีนี้ ผู้ผลิตในตลาดต่างก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้หลากหลาย แต่เทรนด์ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องของความเป็นธรรมชาติ (Natural), การดูแลผิวอย่างอ่อนโยน, การลดริ้วรอย, การดูแลผิวหน้าให้ฉ่ำน้ำ รวมไปถึงเทรนด์ยอดนิยมอย่างผิวหน้าขาวใส (Whitening) ก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค

นอกเหนือจากเทรนด์เหล่านี้แล้ว อีกหนึ่งโจทย์ที่ผู้เล่นเริ่มหยิบเอามาสร้างสรรค์กันมากขึ้น นั่นคือ เทรนด์ Anti-Aging เพื่อรับกับการเข้าสู่ Aging Society ในประเทศไทย เพราะผู้บริโภคกลุ่มสูงวัยในยุคนี้ เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาดูแลตัวเอง รวมถึงใส่ใจบุคลิกกันมากกว่าเดิม

เปิดเกมรุกบุกตลาดเพื่อนบ้าน

สำหรับผู้ประกอบการเครื่องสำอางไทย ที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ คุณสรศักย์ ชัยสถาผล ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนพัฒนาหลักสูตรความรู้เฉพาะทาง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) แนะนำว่า CLMV หรือกัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่น่าสนใจ เนื่องด้วยเป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้สูง โดยมี GDP เฉลี่ยถึง 7% ต่อปี นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้การยอมรับต่อสินค้าที่นำเข้าจากไทยค่อนข้างมาก สร้างโอกาสและแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ การจะเจาะเข้าไปในแต่ละประเทศนั้น ผู้ประกอบการควรทำการศึกษาวิเคราะห์ตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงติดตามสถานการณ์ต่างๆ เพื่อที่จะสามารถผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น ในกัมพูชา คนจะเน้นไปที่การเห็นผลแบบรวดเร็ว โดยกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางที่คาดว่าจะเติบโตสูง ได้แก่ ครีมบำรุงผิว แป้งทาหน้า รองพื้น ลิปสติก ในขณะที่เมียนมา คนจะมีความเชื่อเรื่องสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมความงามออร์แกนิค ตลอดจนประเภทบริการสปา ซาลอนและคลีนิคเสริมความงาม ล้วนเป็นที่ต้องการของคนเวียดนาม เป็นต้น ดังนั้น หากแบรนด์ไทยหยิบจุดเด่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมุนไพรไทย สปา หรือวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติมาเป็นจุดขาย เชื่อว่าจะสามารถเจาะเข้าไปในตลาดเพื่อนบ้านได้มากขึ้น

ที่มา : www.smeone.info

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน