12 คุณประโยชน์จาก “โสม” ที่ไม่ได้มีดีแค่กับคนชรา

โสม สมุนไพรบำรุงร่างกายชั้นดีที่ได้ขนานนามว่า “ราชาแห่งสมุนไพร” เพราะเพียงปลายรากเล็กๆ แต่กลับมากด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงสมอง บำรุงเลือด เพิ่มพลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศสำหรับผู้ชาย และอีกมากมายตามที่เลื่องลือกันมา แต่ด้วยค่านิยมผิดๆ ที่คิดว่าโสมเอาไว้บำรุงคนแก่เท่านั้น วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จัก 12 คุณประโยชน์ของโสมกันนะคะ

โสมช่วยลดการปวดประจำเดือน
ประโยชน์ในเรื่องนี้เอาใจสาวๆ ไปได้เลย เพราะผู้หญิงที่ต้องเจอภาวะปวดประจำเดือนทุกเดือนนี้มันช่างทรมานจริงๆ โดยมีนักวิจัยคิดค้นและยืนยันมาแล้วว่า โสมมีฤทธิ์ช่วยปรับฮอร์โมนในผู้หญิงช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และยังช่วยปรับฮอร์โมนสำหรับผู้หญิงที่กำลังเข้าวัยทองอีกด้วยช่วยลดอาการผมร่วง ป้องกันภาวะผมบางและหัวล้าน


โสมมีส่วนช่วยบำรุงเลือด ทำให้ร่างการสร้างเซลล์ PAPILLA ได้มากขึ้น ซึ่งเซลล์ PAPILLA เป็นเซลล์ที่ช่วยให้อายุของเส้นผมอยู่ได้นานขึ้น ไม่หลุดร่วงง่าย และยังช่วยให้ผมที่ขึ้นใหม่แข็งแรง ป้องกันการเกิดภาวะผมบาง ศีรษะล้าน เสียบุคลิกภาพ


ช่วยบำรุงผิว ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
เนื่องจากโสมมีสาร Phytonutrients และสาร Anti-Oxidants จึงช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระต่างๆ ที่จะมาทำลายผิวให้เกิดริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยดูแลคอลลาเจนในผิวชั้นกลางทำให้ผิวหน้าดูกระชับเต่งตึง แถมยังช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออกไป พร้อมเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิมออกมา


ช่วยลดปัญหารอบดวงตา
สาวๆ คนไหนกำลังเจอปัญหานี้ ใช้อายเจลหมดไปหลายกระปุกก็ยังไม่ช่วย ต้องมาลองใช้โสมกันดู เพราะโสมมีสาร Saponin ที่ช่วยกระตุ้นเซลล์ใต้ผิวหนังรอบดวงตาให้แข็งแรงขึ้น จึงสามารถช่วยแก้ปัญหารอยดำหมองคล้ำใต้ดวงตา ลดอาการบวมของถุงใต้ตา ช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวรอบดวงตาให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิม


ยับยั้งเซลล์มะเร็งรังไข่, มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด
Ginsenosides ในโสมมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งในรังไข่ เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก และเซลล์มะเร็งปอด ได้เป็นอย่างดี จากการวิจัยของนักวิทยาสาสตร์ค้นพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งทั้ง 3 กลุ่มนี้ที่ได้รับประทานโสมอย่างต่อเนื่อง จะสามารถประคองอาการของโรค และมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานโสม


ช่วยรักษาและป้องกัน โรคเบาหวาน
โสมมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรตได้ช้าลง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสในร่างกายไปใช้งานได้มากขึ้น อีกทั้งไปกระตุ้นให้ตับอ่อนสามารถเพิ่มการหลั่งของอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยรักษาโรคและป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี


ช่วยในการลดน้ำหนัก
โสมเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักและไขมันได้ โดยการที่โสมช่วยปรับสภาพให้ร่างกายดูดซึมคาร์โบไฮเดรตได้ช้าลง และกระตุ้นให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้งานได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยลดการสะสมไขมันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเร่งกระบวนการเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย


ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
อย่างที่เราคุ้นหูกันดีว่าโสมเป็นยาโดปชั้นดีของเหล่าสุภาพบุรุษ เพราะโสมสามารถไปเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซในร่างกาย ทำให้สามารถรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้เป็นอย่างดี


ลดอาการความดันโลหิตสูงและต่ำ
โสมมีส่วนช่วยบำรุงเลือดและปรับสมดุลต่างๆ ในร่างกาย ร่วมถึงปรับการหมุนเวียนของเลือดในร่างกายด้วย เพียงมีข้อพึงระวังในการใช้โสมของผู้ป่วยความดันโลหิตอยู่นิดนึงว่า ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรรับประทานโสมขาว และผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำควรรับประทานโสมแดง เพราะโสมทั้ง 2 ชนิดนี้ออกฤทธิ์แตกต่างกัน


ลดความเครียด แก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับ
Ginsenosides ในโสมจะช่วยทำให้ระบบประสาทส่วนกลางตื่นตัวทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยคลายความปวดเมื่อย ซึ่งจะช่วยทำให้หลับสนิท และตื่นมาไม่งัวเงีย กระปรี้กระเปร่า อีกทั้งโสมจะช่วยต้านความเครียด เพราะมีสาร Adaptogens จะช่วยให้ร่างกายให้ผ่อนคลาย ปรับสภาวะจิตใจให้คงที่ ลดภาวะโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย


ช่วยบำรุงสมองและระบบความจำ
ในส่วนข้อนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องทำงานใช้ความคิดทั้งวัน หรือเด็กนักเรียน นักศึกษาที่กำลังเตรียมตัวสอบ เพราะโสมมี Ginsenosides ที่จะช่วยเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท ให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทของระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ปรับกระบวนการคิดและวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น


ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ต่างๆ
โสมช่วยปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล จึงทำให้สามารถป้องการการติดเชื้อต่างๆ ได้ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ต่างๆ ร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย ไอจามบ่อยๆ หากได้รับประทานโสมจะสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้อย่างดีเลยทีเดียว

ข้อควรระวังในการทานโสม

แม้ว่าโสมจะมีความปลอดภัยต่อร่างกายสูง แต่หากทานโสมแล้วเกิดอาการผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ มีผื่นแดง หรืออาการอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันที นอกจากนี้การเลือกชนิดของโสมก็มีความจำเป็น ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่ควรทานโสมแดง เพราะจะยิ่งเพิ่มความร้อน และความดันโลหิตให้กับร่างกายได้ ควรเลือกทานเป็นโสมขาวที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยลดความดันโลหิตจะดีกว่า และหญิงมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานโสมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นโสมชนิดใดก็ตาม

ที่มา : sanook.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


กู้หุ่นอวบให้ผอมเพรียวได้ด้วยสารสกัดแคคตัส

หากการมีสุขภาพที่แข็งแรงคือลาภอันประเสริฐการมีรูปร่างสมส่วนนั้นย่อมไม่ต่างกัน แต่การได้มาซึ่งรูปร่างสมส่วนนั้นก็อาจจะไม่ง่ายสำหรับบางคนเช่นกัน ความอ้วนและไขมันส่วนเกิน เกิดจากพฤติกรรมตามใจปาก จนเกิดไขมันสะสมพอกพูนแล้วความอ้วนก็ตามมา วันนี้ SI มีเรื่องราวของสารสกัดตัวหนึ่ง ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักโภชนาการทั่วโลกว่าสามารถลดน้ำหนักได้อย่างได้ผล นั่นก็คือกระบองเพชรนั้นเอง กระบองเพชรอุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมาย ที่มีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก ลดไขมันและโคเลสเตอรอล ลดระดับน้ำตาลและช่วยต่อต่านอนุมูลอิสระได้ด้วย เราไปทำเจาะลึกคุณประโยชน์ของเจ้าสารสกัดมหัศจรรย์ตัวนี้กันค่ะ

กลไกการทำงานของกระบองเพชร

ยับยั้งการสร้างไขมัน ลดความอยากอาหาร อิ่มนาน ไม่หิวบ่อย สารสกัดจากกระบองเพชร ( Cactus Extract) กระบองเพชรเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดแถบทะเลทราย ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้สร้างไขมัน พร้อมทั้งกระตุ้นให้ร่างกายนำไขมันสะสมมาเผาผลาญได้ดีขึ้น และยังอุดมด้วยเส้นใยคุณภาพสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด อุ้มน้ำได้ดี จึงช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้ระบบการขับถ่ายเป็นปกติ ป้องกันโรคริดสีดวง 

ดักจับไขมัน ล้างพิษขจัดของเสีย ไคโตซาน (Chitosan) สารสกัดจากเปลือกสัตว์ทะเลกุ้งและปูให้สารสกัด ไคโตซาน ซึ่งมีประจุเป็นบวก ช่วย ดักจับไขมัน ที่มีประจุเป็นลบ ในระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะในกระเพาะอาหาร ที่มีสภาพเป็นกรด ป้องกันการดูดซึมของไขมันส่วนเกินจึงมีผลลดและควบคุมน้ำหนักได้ และยังช่วยล้างพิษของลำไส้ และจากการศึกษา การรับประทานไคโตซาน วันละ 1,350 มก.ต่อวัน ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 80 ราย พบว่า เพียง 4 สัปดาห์ ระดับไขมันและของเสียในเลือดลดลง อย่างมีนัยสำคัญ 

เร่งการเผาผลาญน้ำตาลลดการสะสมไขมัน สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract ) สารสกัดจากผลส้มแขกให้สารสกัด ชื่อ Hydroxy citric acid (HCA) จะเข้าไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่เปลี่ยนน้ำตาลไห้เป็นไขมัน ดังนั้น จึงช่วยลดการสะสมของไขมัน และยังช่วยให้อิ่มเร็ว รับประทานอาหารตามได้น้อยอีกด้วย 

ช่วยให้อิ่มเร็ว ช่วยระบาย ป้องกันริดสีดวง มะเร็งลำไส้ใหญ่ ไซเลียม ฮัชค์ ( Psyllium husks) เส้นใยจากพืชธรรมชาติ มีลักษณะพิเศษพองตัวเหมือนเมือก ทำให้ช่วยดูดซับไขมันที่มาพร้อมอาหาร อุจจาระมีลักษณะลื่น ขับถ่ายสะดวก สารสกัดจากผลแอปเปิล (Apple Extract) สารสกัดจากแอปเปิล อุดมด้วยเส้นใยคุณภาพ ช่วยลดความอยากอาหาร ชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ลดการสะสมไขมันใหม่ เซลลูโลส(Cellulose) เส้นใยจากพืชธรรมชาติ ช่วยดูดซับไขมัน โคเลสเตอรอลพร้อมขับถ่ายออกจากร่างกาย พร้อมยังช่วยให้อิ่มเร็ว ไม่หิวบ่อย เอะคาเซียกัม (Acacia gum) เส้นใยชนิดพิเศษ ช่วยอุ้มน้ำเพิ่มปริมาณกากใยในกระเพาะช่วยทำให้อิ่มเร็ว ช่วยเรื่องระบบการขับถ่าย ป้องกันโรคริดสีดวง มะเร็งลำไส้ใหญ่

ซ่อมแซมลำไส้ ต้านอนุมูลอิสระ เร่งการเผาผลาญ ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร บำรุงผิวให้สวยสดใส ต้านแก่ก่อนวัย วิตามิน ซี วิตามิน บี 6 (Vitamin C , Vitamin B 6) เร่งระบบการเผาผลาญของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและเสริมผิวให้แข็งแรง บำรุงระบบประสาท สารสกัดจากมะขามป้อม (Emblic Extract) อุดมด้วยวิตามิน ซี สูง ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ต่อต้านริ้วรอย และยังมีฤทธิ์ช่วยระบายอ่อนๆ โอลิโกฟรุกโตส (Oligofrutose) เส้นใย “พรีไบโอติก ” เป็นอาหารของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยเสริมการทำงานของลำไส้ ให้ทำงานปกติ เพื่อการขับถ่ายที่เป็นปกติ

ที่มา : 108health.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


เจาะลึก “ไคโตซาน” สารสกัดมหัศจรรย์จากธรรมชาติ

ไคติน-ไคโตซาน ชื่อนี้หลายคนอาจยังไม่คุ้นหูนัก แต่ถ้าบอกว่าสารสกัดนี้อยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก และไคตินยังมีสรรพคุณอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการดักจับคราบไขมัน โลหะหนัก อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และมักจะนำมาเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางอีกด้วย วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จักสารมหัศจรรย์จากธรรมชาติชนิดนี้กันค่ะ

ไคติน คืออะไร ไคตินเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพชนิดหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อ เป็นองค์ประกอบในโครงสร้างต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิด ไคตินเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก และเนื่องจากไคตินเป็นพอลิเมอร์ที่พบในธรรมชาติ เราจึงมักพบไคตินในรูป สารประกอบเชิงซ้อนที่อยู่รวมกับสารอื่นๆ ไคตินเป็นสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับเซลลูโลสและแป้ง รูปร่างของไคตินจะเป็นเส้นสายยาวๆ มีลักษณะคล้ายลูกประคำที่ประกอบขึ้นมาจาก น้ำตาลโมเลกุลเล็กๆ ที่มีชื่อว่า เอ็น-อะซิทิลกลูโคซามีน ไคติน-ไคโตซาน ดาวรุ่งพุ่งแรง เมื่อพูดถึงไคติน อีกคำที่มักจะพ่วงมาด้วยคือ ไคโตซาน ไคโตซาน คืออนุพันธ์ตัวหนึ่งของไคติน รูปร่างหน้าตาของมันก็จะละม้ายคล้ายกับไคติน ไคโตซานจะได้จากปฏิกิริยาการดึงส่วนที่เรียกว่า หมู่อะซิทิล (acetyl group) ของไคตินออกไป เรียกว่า ปฏิกิริยาดีอะซิทิเลชัน (deacetylation) ทำให้จากเดิมโมเลกุลเดี่ยวของไคตินที่เคยเป็น เอ็น-อะซิทิลกลูโคซามีน ถูกแปลงโฉมใหม่เหลือแค่ กลูโคซามีน (glucosamine) 

จากที่เคยเรียกว่าไคตินก็เลย เปลี่ยนชื่อเป็นไคโตซาน การหายไปของหมู่อะซิทิล ทำให้ไคโตซานมีส่วนของโมเลกุลที่แอคทีฟ และพร้อมที่จะทำ ปฏิกิริยาอย่างว่องไวอยู่หลายหมู่ หมู่ที่เด่นๆ เลยก็คือ หมู่อะมิโน (-NH2) ตรงคาร์บอนตัวที่ 2 หมู่แอลกอฮอล์ (CH2OH) ตรงคาร์บอนตัวที่ 6 และหมู่แอลกอฮอล์ที่คาร์บอนตัวที่ 3 และเพราะหมู่ที่อยากทำปฏิกิริยานี้เองที่ทำให้ไคโตซานมีโอกาสได้ฉายแววรุ่งโรจน์ในหลายๆ วงการ

ไคติน-ไคโตซาน ทำงานได้อย่างไร ไคติน-ไคโตซาน จะทำงานเป็นตัวสร้างตะกอนและตัวตกตะกอน ตัวสร้างตะกอนจะกระตุ้นให้เศษของเสียที่แขวนลอยๆ ในน้ำเกิดการรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ใหญ่ขึ้นๆ และพอใหญ่มากเกินก็ตกเป็นตะกอนลงมา ส่วนตัวตกตะกอน ก็จะทำงานคล้ายๆ กันคือจะไปจับกับสารแขวนลอยในน้ำแล้วตกตะกอนลงมา โดย-ไคโตซานจะทำหน้าที่ทั้งสองแบบ ซึ่งทำได้ดีเนื่องจากมีหมู่อะมิโนที่สามารถแตกตัวให้ประจุบวกมาก จึงทำให้พวกประจุลบอย่างโปรตีน สีย้อม กรดไขมันอิสระ คอเลสเทอรอล (ในร่างกาย) ต้องเข้ามาเกาะกับประจุบวกของไคโตซาน ส่วนโลหะหนักซึ่งเป็นประจุบวกอยู่แล้ว จะจับกับอิเล็กตรอนจากไนโตรเจนในหมู่อะมิโนของไคโตซานทำให้เกิดพันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะเชิงซ้อนขึ้นมา และจากการทดลองพบว่าหมู่อะมิโนในไคโตซานจะสามารถจับกับโลหะหนักในน้ำ ได้ดีกว่าหมู่อะซิทิลของไคติน

ประโยชน์ของไคติน-ไคโตซาน ไคติน-ไคโตซานเป็นตัวอย่างของการจัดการกับกากของเสียที่ชาญฉลาด ซึ่งตอนนี้ถูกนำไปใช้ ประโยชน์หลายๆ อย่างได้อย่างน่าทึ่งในแทบทุกวงการเลยทีเดียว ทั้งการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม ในทางการแพทย์ ไคตินสุดไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายทั้งยังช่วยส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อคนอีก ไคติน-ไคโตซานก็เลยได้รับความสนใจเป็นอย่างมากที่จะได้รับการพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียในลำไส้ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ต่อต้านมะเร็ง ช่วยลดสารพิษและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายอย่างเชื้อซัลโมเนลลา ใช้ทำผิวหนังเทียมที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานให้กับผู้ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือพวกประสบอุบัติเหตุที่มีแผลลึกๆ ในทางการเกษตร ไคโตซานสามารถก่อตัวเป็นฟิล์มบาง ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เคลือบผิวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรและเมล็ดพันธุ์ และยังมีการนำเอาอนุพันธ์ของไคตินและไคโตซานไปเป็นสารต่อต้านเชื้อรา ไวรัสและแบคทีเรียบางชนิด ซึ่งมันสามารถทำงานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ยับยั้งโรคโคนเน่าจากเชื้อรา โรคแอนแทรกโนส และโรคอื่นๆ ไคติน-ไคโตซานสามารถใช้เป็นสารเสริมผสมลงในอาหารสัตว์บก เช่น สุกร วัว ควาย เป็ด ไก่ ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในทางเดินอาหาร ช่วยลดอาการท้องเสียของสัตว์ได้ และลดอัตราการตายของสัตว์วัยอ่อนอันเนื่องมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดในทางเดินอาหาร ในด้านความสวยความงาม ไคติน-ไคโตซานสามารถลดความอ้วน ได้ดีสุดยอดอย่างที่เราไม่อยากจะเชื่อ เมื่อไคตินนั้นได้กลายเป็นไคโตซานแล้ว ประจุบวกอันมหาศาลของไคโตซาน จะเป็นที่ดึงดูดใจมากของเหล่ากรดไขมันอิสระ และคอเลสเทอรอลที่มีประจุลบ ดังนั้นเจ้าตัวต้นเหตุของความอ้วน ทั้ง 2 ตัว ก็จะเกาะติดแจกับไคโตซาน และคนไม่สามารถย่อยไคติน-ไคโตซานได้ทั้งหมดจึงถูกขับออกมาพร้อม กับอุจจาระโดยที่มีคอเลสเทอรอลและไขมันส่วนเกินตามออกมาด้วย

ไคโตซานมีประจุบวกอย่างล้นเหลือทำให้มันสามารถเกาะกับประจุลบของผิวหนังและเส้นผมได้เป็นอย่างดี จึงถูกนำไปใส่ในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ธรรม ชาติที่เราคงคุ้นชื่อกันดีว่ากรดแอลฟาไฮดรอกซี หรือ AHA ไงครับ กรดพวกนี้จะกระตุ้นให้ผิวหนังเก่าหลุดลอก เพื่อสร้างผิวใหม่ ทำให้ผิวคุณดูอ่อนเยาว์ขึ้น ส่วนในการบำรุงเส้นผม ไคโตซานจะก่อตัวเป็นฟิล์มเคลือบเส้นผมไว้ ทำให้เส้นผมคงสภาพนุ่มสลวยไม่เสียง่าย ในด้านสิ่งแวดล้อม ไคโตซานคือสุดยอดนวัตกรรมที่เกิด มาจากเทคโนโลยีการใช้กากของเสียให้เป็นประโยชน์ เป็นทางออกที่ดีทั้งต่อมนุษย์และต่อสิ่งแวดล้อม ในการจัดการเปลือกกุ้งมากมาย ที่ถูกทิ้งจากอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ บทบาทที่สำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมของไคโตซานที่เรารู้ๆ กันก็คือการบำบัดน้ำทิ้ง น้ำเสีย นอกจากการบำบัดน้ำเสียแล้ว ไคโตซานยังมีความสามารถในการจับกับของแข็งแขวนลอยได้ดี และจับกับอะตอมของ โลหะหนัก รวมทั้งมีการนำไปจับกับสารกัมมันตรังสีอย่างพลูโตเนียมและยูเรเนียมด้วย ส่วนการจับกับคราบไขมันนั้น กลไกการจับก็คล้ายๆ กับการจับกับไขมันในทางเดินอาหาร

และบทบาทที่คนไม่ค่อยจะรู้กันประการหนึ่งก็คือ มีการใช้ไคโตซานผสมกับพลาสติกเพื่อผลิตพลาสติก ที่สามารถย่อยสลายได้ ในภาคอุตสาหกรรม ไคตินและไคโตซาน มีประโยชน์อย่างมากมายใน อุตสาหกรรมอาหาร เช่น ใช้เสริมใยอาหารธรรมชาติในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้ง ใช้เพิ่มความเหนียวแน่นให้กับ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ใช้เพิ่มกลิ่นรสให้ดีขึ้นกับผลิต ภัณฑ์เนื้อสัตว์ อุตสาหกรรมเส้นใย กระดาษ สิ่งทอ ก็มีการใช้ไคโตซาน เช่น ใช้ทำภาชนะบรรจุที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ทำฟิล์มถนอมอาหารที่สามารถรับประทานได้ ใช้ในการผลิตผ้าที่ย้อมสีติดทนนาน ใช้ในกระบวนการผลิตกระดาษ ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพสูง ทนทานต่อการฉีกขาด หรือผลิตกระดาษที่ซับหมึกได้ดีเพื่อการพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูง

ที่มา : 108health.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


29 คุณประโยชน์ของงาดำ

งาดำ (Black sesame seeds) ถือเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มหาศาลต่อสุขภาพ สามารถที่จะรับประทานเป็นประจำอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่ง งาดำมีสรรพคุณช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และหากเรารับประทานเป็นประจำ ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทาน ภายในงาดำนั้น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น วิตามิน B รวม , เหล็ก (Iron) แมกนีเซียม (Magnesium) , ฟอสฟอรัส (Phosphorus) , โซเดียม (Sodium) , สังกะสี (zinc) , แคลเซียม (Calcium) และ โพแทสเซียม (Potassium) เป็นต้น นอกจากนั้น งาดำยังช่วยบำรุงสุขภาพในทุกส่วนของร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยทองอีกด้วย

สรรพคุณของงาดำ

ภายในงาดำ มีสารอาหารต่างๆ มากมายหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย และยังมีสรรพคุณช่วยชะลอความแก่ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รวมไปถึงช่วยบำรุงผิวพรรณของเราให้สดใสอยู่เสมออีกด้วย

– งาดำมีความสำคัญอย่างมากต่อความสมบูรณ์ของร่างกาย

– ช่วยชะลอความแก่ คงความอ่อนเยาว์

– ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย

– ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนังของคุณ

– ช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง และช่วยให้ผมดกเงางาม

– ช่วยป้องกันผมหงอก

– ช่วยเพิ่มพลังงานและความแข็งแรงของร่างกาย

– ช่วยในการเผาผลาญและสลายไขมัน ลดความอ้วน

– ช่วยลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล

– ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว

ที่มา : medthai.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


10 สุดยอดสมุนไพรช่วยแก้ปัญหาผิวพรรณ

ถ้าคุณเป็นอีกคนที่ผิวบอบบางและแพ้ง่าย หมายถึงผิวที่หย่อนคล้อย บอบบางและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของสีผิว มีลักษณะเป็นสีขาวด่าง แดง หรือน้ำตาลเทาถึงผิวบริเวณผิวหนังและอาการอาจรวมถึงผื่นแดงและอาการคันที่รุนแรง ปัญหาผิวประเภทนี้มักเกิดขึ้นที่หน้าอก ใบหน้าและขา

สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังผิวรอยแดงอาจเป็นได้หลายอย่าง มันสามารถเกิดจากโรคผิวหนังเช่น โรซาเซีย rosacea, กลาก, โรคสะเก็ดเงิน โรคขนคุดและอื่น ๆ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น เย็นเกินไปหรือแห้งเกินไป

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดผิวหยาบกร้านบนใบหน้า อาการนี้เรียกว่า melasma หรือ chloasma หรือชื่อภาษาไทย คือ ฝ้าที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง

ผิวคล้ำหรือรอยแดงอาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่ผิวของคุณได้รับบาดเจ็บ เช่น การเผาไหม้หรือการบาดเจ็บ สภาพผิว เช่น ผื่นแพ้ ปฏิกิริยาหรือสิว ; และการติดเชื้อ เช่น เกลื้อน พยาธิตัวกลม หรือกลากเกลื้อน ความเครียดที่มากเกินไปสารระคายเคืองต่อสิ่งแวดล้อมและปัจจัยทางพันธุกรรมอาจทำให้เกิดปัญหาผิวประเภทนี้ได้

โดยไม่คำนึงถึงว่าทำไมมันเกิดขึ้นที่ผิวหนังมีรอยสีซีดจางสามารถทำให้ไม่สงบที่จะมองและทำให้คุณปรากฏแก่กว่าคุณจริงๆ ผู้ที่ประสบปัญหานี้พร้อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อกำจัดปัญหานี้

คุณสามารถเลือกใช้วิธีการรักษาที่บ้านได้หากสาเหตุของปัญหาผิวหนังไม่รุนแรง อย่างไรก็ตามสำหรับสาเหตุที่ร้ายแรงขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม

1. ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และปัญหาผิวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผิวที่ถูกทำร้ายจากการถูกแดดเผา คุณสมบัติต้านการอักเสบสามารถลดอาการอักเสบผิวหนังแดงและบวมที่เกิดจากผิวหนังไหม้ได้

นอกจากนี้คุณสมบัติให้ความความชุ่มชื้นของเจลว่านหางจระเข้สามารถช่วยให้ผิวชุ่มชื้นซึ่งจะช่วยบรรเทา และรักษาผิวของคุณและคืนค่าสีผิวที่แข็งแรงและแม้กระทั่งฟื้นฟูให้ผิวขาวกระจ่างใส

วิธีใช้: ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ และนำเจลว่านหางจระเข้ ใส่ชามบดด้วยส้อม
ใช้เจลว่านหางจรเข้ทาลงบนผิวที่หยาบกร้านของคุณโดยใช้มอ ค่อยๆนวด
ทิ้งไว้บนผิวของคุณอย่างน้อย 20 ถึง 30 นาที
สุดท้ายล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ปฏิบัติเช่นนี้ 2 – 3 ครั้งต่อวันจนกว่าคุณจะมีผิวที่กระจ่างใสและดูมีสุขภาพดี


2. ข้าวโอ๊ต

อีกหนึ่งวิธีง่ายๆในการรักษาสภาพผิวไม่สม่ำเสมอคือ การใช้ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตเป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ดีที่ช่วยบำรุงผิวที่แห้งมากซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดผิวหยาบกร้าน นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยจัดการกับผื่นแดงและอาการคัน สามารถใช้ข้าวโอ๊ตเพื่อกำจัดผิวที่หยาบกร้าน คุณสามารถใช้ทรีทเมนต์ต่อไปนี้ 3 หรือ 4 ครั้งต่อสัปดาห์:

วิธีที่ 1 : เติมข้าวโอ๊ตบด 2 ช้อนโต๊ะและเพิ่มน้ำอุ่น 2-3 ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำมะเขือเทศ) และน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
ใช้ส่วนผสมนี้ทาลงบนผิวที่หยาบกร้านของคุณ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนวดเบาๆบนผิวโดยใช้นิ้วที่ชื้นนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
วิธีที่ 2 : เติมน้ำในอ่างด้วยน้ำอุ่น เติมข้าวโอ๊ตลงในอ่างน้ำ แล้วใส่แป้งข้าวโอ๊ต 1 ½ ถ้วยลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน แช่ตัวลงในน้ำประมาณ 15 ถึง 20 นาที แล้วอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายด้วยสบู่สูตรนม อ่อนโยนต่อผิว
วิธีที่ 3 : เติมข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ นมสด ½ ถ้วย น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันดีและปล่อยให้เย็นลง ทาส่วนผสมบนผิวบริเวณที่ได้รับผลกระทบประมาณ 20 นาทีก่อนล้างออก


3. น้ำมันมะพร้าว

กรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวทำให้น้ำมันนี้มีความชุ่มชื้นที่ดีสำหรับผิวแห้งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการผิวหยาบกร้านไม่สม่ำเสมอ ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ในเวลาเดียวกันก็มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรียช่วยลดรอยแดงและอักเสบ

วิธีใช้: ถูน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ระหว่างฝ่ามือของคุณ ใช้น้ำมันอุ่น ๆ ลงบนผิวหยาบของคุณ ถูเบา ๆ ประมาณ 5 ถึง 10 นาที ปล่อยทิ้งไว้ให้น้ำมันซึมลึกสู่ผิวปฏิบัติเช่นนี้ 2 หรือ 3 ครั้งต่อวัน
หรือเลือกใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 2 ช้อนโต๊ะและน้ำตาลและน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน และทาลงบนผิวที่หยาบกร้าน  ทิ้งไว้ให้ซึมลึกสู่ผิว ปฏิบัติเช่นนี้เป็นเวลา 2 สัปดาห์


4. โยเกิร์ต

โยเกิร์ตทำงานได้ดีบนผิวที่หยาบกร้านโดยเฉพาะเมื่อเกิดจากแสงแดด โยเกิร์ตช่วยลดจุดด่างอายุ ผิวคล้ำเสียจากแสงแดด และผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด

ประกอบด้วยกรดแลคติกซึ่งมักใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ออกแบบมาเพื่อรักษาผิวหยาบและแห้ง กรดแลคติคทำงานเป็นสารขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอาจเป็นสาเหตุเบื้องหลังผิวที่หยาบกร้าน โยเกิร์ตยังมีฤทธิ์ในการทำความเย็นกับผิวซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผิวหนังที่ถูกแดดเผา

วิธีที่ 1 : ทาโยเกิร์ตลงบนผิวที่หยาบกร้านของคุณ ทิ้งไวให้ซึมลึกสู่ผิวประมาณ 20 ถึง 30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำซ้ำทุกวัน
วิธีที่ 2 : ผสมโยเกิร์ตธรรมดา 1 ช้อนโต๊ะ และผงขมิ้น 1 ช้อนชา ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน ทั่วบริเวณผิวที่ได้รับผลกระทบ ปล่อยให้นั่งประมาณ 20 ถึง 30 นาทีหรือจนกว่าจะแห้ง ล้างด้วยน้ำอุ่นและลูบไล้ให้แห้ง ใช้วิธีนี้ 3 หรือ 4 ครั้งต่อสัปดาห์


5. ชาเขียว

การดื่มชาเขียวทุกวันมีคุณประโยชน์ตอสุขภาพมากมาย ชาเขียวยังเหมาะสำหรับการลดผิวบวมเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านการอักเสบในนั้น ชาเขียวช่วยขจัดความหมองคล้ำและอาการบวมที่ทำให้รู้สึกไม่สบายผิว

วิธีใช้: แช่ถุงชาเขียวไว้ในถ้วยน้ำอุ่นประมาณ 10 นาที และนำถุงชาออก
เติมแป้งข้าวเจ้าลงในน้ำชาและผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว
ทาลงบนใบหน้าและผิวที่หยาบกร้าน
ทิ้งไว้บนผิวของคุณประมาณ 15 ถึง 20 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ทำซ้ำ 2 หรือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
พร้อมกับการใช้มาร์คหน้าชาเขียวนี้กับผิวของคุณ ควรดื่มชาเขียวควบคู่ไปด้วย


6. เบคกิ้งโซดา

บางครั้งในการรักษาผิวที่หยาบกร้าน ควรหมั่นขัดและสครับผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายไป สำหรับการขัดผิวอ่อนโยนส่วนผสมในครัวที่ดีที่สุดคือเบคกิ้งโซดา เบคกิ้งโซดาช่วยลดรูขุมขนอุดตันและทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกเพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี

วิธีใช้: ผสมเบคกิ้งโซดากับน้ำเล็กน้อยเพื่อให้ได้เนื้อครีม
ทาลงบนผิวหยาบกร้านของคุณ ทั้งลำตัวและใบหน้า
นวดผิวเบา ๆ สักครู่ด้วยปลายนิ้วของคุณ
ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่มๆ
ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้น
ทำซ้ำทุกๆ 2 ถึง 3 วันจนกว่าคุณจะกำจัดผิวที่หยาบกร้านของคุณ


7. น้ำมันวิตามิน E

วิตามิน E ช่วยในการรักษาสีผิวที่ไม่เรียบเนียน ไม่สม่ำเสมอและรอยคล้ำ บนเกือบทุกส่วนของร่างกาย น้ำมันวิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระวิตามิน E สามารถลดความเสียหายที่เกิดจากรังสียูวีที่รุนแรงของดวงอาทิตย์ได้ น้ำมันวิตามิน E มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาผิวแห้ง

วิธีใช้: สารสกัดจากแคปซูลวิตามินE  1 หรือ 2 แคปซูล ใส่น้ำมันละหุ่งลงไป 1 ช้อนชาและผสมให้เข้ากัน ใช้ส่วนผสมบนผิวที่ได้รับผลกระทบก่อนเข้านอนปล่อยทิ้งไว้ค้างคืนและล้างออกในเช้าวันรุ่งขึ้น ใช้วิธีการรักษาแบบนี้ทุกวันจนกว่าโทนสีผิวจะมีสุขภาพดีและสม่ำเสมอ
นอกจากนี้คุณยังสามารถนวดน้ำมันวิตามิน E ลงบนผิวหนังที่ได้รับผลกระทบได้เป็นเวลา 10 ถึง 15 นาทีวันละ 2 ครั้ง ทำเช่นนี้เป็นเวลา2-3 สัปดาห์เพื่อปรับสภาพสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอของคุณ


8. น้ำกุหลาบ

คุณสามารถใช้น้ำดอกกุหลาบเพื่อลดอาการผื่นแดงที่ผิวหนัง ช่วยบรรเทาผิวและลดรอยแดงเนื่องจากคุณสมบัติต้านการอักเสบ นอกจากนี้น้ำดอกกุหลาบจะช่วยรักษาผิวแม้กระทั่งการปรับสีผิวและสร้างเซลล์ผิวใหม่หลังจากที่ผลัดเซลผิวที่ตายแล้ว

วิธีใช้: ใส่น้ำกุหลาบเล็กน้อยลงบนสำลีและทาลงบนผิวที่หยาบกร้าน
ทิ้งไว้ประมาณ 15 ถึง 20 นาทีแล้วล้างหน้า
ทำแบบนี้ทุกวันทุกสัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ


9. น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งถือเป็นหนึ่งในสารให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติที่ดีที่สุดที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงวของคุณและจัดการกับอาการผิวแห้งและไม่เรียบเนียน นอกจากคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น สารต้านอนุมูลอิสระแล้ว น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบอีกด้วย ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเพิ่มสุขภาพผิวของคุณ ให้แข็งแรงดูมีสุขภาพดี

วิธีใช้: ทาน้ำผึ้งดิบทั่วบริเวณผิวที่ได้รับผลกระทบ ปล่อยทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนอาบน้ำ ทำซ้ำทุกวัน
อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้น้ำผึ้ง ขี้ผึ้งและน้ำมันมะกอก ละลายขี้ผึ้งในไมโครเวฟหรือหม้อต้ม ด้วยไฟอ่อนๆ จากนั้นให้ผสมน้ำผึ้งและน้ำมันมะกอกและปล่อยให้เย็น ใช้ส่วนผสมนี้ทั่วบริเวณที่ได้รับผลกระทบและทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีก่อนอาบน้ำ ทำซ้ำทุกวัน ๆ


10. แตงกวา

แตงกวามีคุณสมบัติของความสดชื่นและความเย็น ช่วยรักษาผิวที่หยาบกร้านและแห้งได้ดีเนื่องจากช่วยให้ผิวของคุณควบคุมการผลิตเมลานิน แตงกวามีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยลดการอักเสบของผิว พวกเขายังอุดมไปด้วยวิตามิน C ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผิวและการชะลอความชรา นอกจากนี้กรด pantothenic ในแตงกวายังช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นกักเก็บน้ำไว้ได้อีกด้วย

วิธีใช้: ผสมปริมาณแตงกวาและน้ำมะนาวให้เท่ากัน
ใช้ทาลงบนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 20 ถึง 30 นาที
ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำซ้ำวันละครั้ง

ที่มา : beautyclubthailand.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


สมุนไพรไทยกับเครื่องสำอาง

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย ดังเห็นได้จากการเติบโตของการส่งออกเครื่องสำอางที่มีมูลค่าการตลาดสูงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแผนในการพัฒนาองค์ความรู้ของประชากรในประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการศึกษาและวิจัย โดยมุ่งเน้นงานวิจัยแบบมุ่งเป้าที่สามารถนําองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในภาคธุรกิจได้ ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาประเทศให้พึ่งตนเองได้ในอนาคต รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติโดยเพิ่มรายได้ ลดการนําเข้าและเพิ่มการส่งออก ผลิตณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพรรวมทั้งภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยเป็นองค์ความรู้ที่มีข้อได้เปรียบที่จะสามารถนํามาใช้เป็นเอกลักษณ์ของจุดขายในธุรกิจเครื่องสำอางโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องสําอางจากธรรมชาติในการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศได้

แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางในปัจจุบันเน้นเครื่องสำอางที่มาจากธรรมชาติ โดยมีการนําสารสกัดจากธรรมชาติ สมุนไพรและภูมิปัญญาพื้นบ้านมาเป็นวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและต้นทุนต่ำ สําหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง ประเทศไทยมีความได้เปรียบในองค์ความรู้ของความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ทั้งสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีการใช้สืบต่อกันมานานหลายชั่วอายุคน หากสามารถนําองค์ความรู้เหล่านี้มาพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ก็จะสามารถใช้เป็นเอกลักษณ์เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางจากธรรมชาติที่เป็นที่ยอมรับและสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้ โดยเฉพาะตลาดหลักคือสหรัฐอเมริกา ยุโรปและจีนรวมทั้งประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการนําผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สมุนไพรไทยและภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยมาพัฒนาเป็นวัตถุดิบเครื่องสําอางอย่างจริงจังเท่าที่ควร ดังเห็นได้จากที่มีการนําเข้าด้วยมูลค่าสูงของวัตถุดิบธรรมชาติจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสําอาง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากขาดความน่าเชื่อถือของสมุนไพรไทยเพราะขาดข้อมูลการวิจัยด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขาดการพัฒนาวัตถุดิบจากสมุนไพรไทยที่เป็นระบบ ขาดการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์กับสมุนไพรไทย และในประการสําคัญคือ ขาดการจัดระบบขององค์ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสมุนไพรไทยและภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยที่จะช่วยให้การนําสมุนไพรไทยไปใช้ประโยชน์ทางเครื่องสําอางได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม

ผู้ประกอบการเครื่องสําอางจากธรรมชาติในประเทศไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ยังขาดข้อมูลและองค์ความรู้ของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สมุนไพรไทยและภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยเพื่อใช้ตัดสินใจในการคัดเลือกสมุนไพรเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจในการนํามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางในขณะนี้ ยังไม่มีการจัดระบบขององค์ความรู้ให้เป็นฐานข้อมูลเฉพาะที่รวบรวมองค์ความรู้และผลงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรไทยที่มีอยู่ในประเทศไทยที่มีศักยภาพที่จะสามารถนํามาพัฒนาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง การรวบรวมองค์ความรู้และจัดเป็นระบบโดยจัดทําเป็นฐานข้อมูลเฉพาะสําหรับสมุนไพรใช้ทางเครื่องสําอาง รวมทั้งการมีโปรแกรมที่จะสามารถสืบค้นข้อมูลต่างๆ ของสมุนไพรไทยได้โดยง่ายแล้ว จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลผลงานวิจัยต่างๆของสมุนไพรเกี่ยวกับผลทางเครื่องสําอางที่จะสามารถนําไปใช้ตัดสินใจเพื่อคัดเลือกสมุนไพรไปต่อยอดผลิตเป็นเครื่องสําอางสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เป็นการช่วยส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจเครื่องสําอางจากสมุนไพร ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศไทยสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางจากธรรมชาติที่นําเข้าจากต่างประเทศ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก

ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2560 กลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยในการจัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสำอาง (Thai Medicinal Plants for Cosmetics Database หรือ TMPCD) ในระยะที่ 1 – 3 แก่คณะผู้วิจัย (ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์มานานมากกว่า 25 ปี ในการจัดทำฐานข้อมูลตำรับยาสมุนไพรไทย “มโนสร้อย 3”) ประกอบด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภญ. อรัญญา มโนสร้อย (หัวหน้าโครงการ) และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ภก. จีรเดช มโนสร้อย พร้อมด้วยคณะผู้วิจัยในศูนย์วิจัยสุขภาพและความงามมาโนเซ่ (www.manose.co) โดยผ่านทางศูนย์บริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ฐานข้อมูลนี้บรรจุข้อมูล องค์ความรู้และผลงานวิจัยต่างๆในรูปแบบ monograph ที่มี 22 หัวข้อของสมุนไพรต่างๆ ที่มีในประเทศไทยที่สามารถนำมาใช้ทางเครื่องสำอางได้จำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัว โดยเน้นข้อมูลเกี่ยวกับฤทธิ์และความปลอดภัยทางเครื่องสำอาง การเตรียมสารสกัด การตรวจสอบวิเคราะห์และการพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารสำคัญที่มีฤทธิ์ทางเครื่องสำอาง รวมทั้งผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางโดยมีโปรแกรมที่จะสามารถสืบค้นด้วยคำสำคัญ (key words) ต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ 1-5 คำสำคัญ ซึ่งสามารถสืบค้นได้ทั้งแบบด่วนและแบบละเอียด คณะผู้วิจัยยังได้จัดทำโปรแกรม application ของฐานข้อมูลนี้เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้ในการดูและสืบค้นข้อมูลได้ในมือถือทั้งระบบ android และ ios

ฐานข้อมูลนี้จะสนับสนุนการใช้องค์ความรู้ วัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทยและเทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้นข้อมูลในด้านต่างๆ ของสมุนไพรที่มีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ประกอบการจะสามารถนำไปใช้เป็นจุดเด่น เอกลักษณ์ที่แตกต่างและได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการนอกจากจะสามารถนำผลการสืบค้นจากฐานข้อมูลนี้ไปใช้ตัดสินใจเลือกสมุนไพรที่จะเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการผลิตในเชิงพาณิชย์ และใช้เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์โดยเป็น Geographical Index (GI) แล้ว ข้อมูลที่สืบค้นได้ยังมีประโยชน์สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุม กำกับดูแล และให้การสนับสนุน SMEs ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางจากธรรมชาติและสมุนไพรไทย ดังนั้น ฐานข้อมูลนี้จึงมีส่วนช่วยสร้างและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ไทยในธุรกิจเครื่องสําอางจากธรรมชาติจากฐานความรู้ด้วยการสร้างแหล่งที่เป็นองค์ความรู้ในรูปแบบฐานข้อมูลทางด้านสมุนไพรที่จะช่วยให้ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจอยู่รอดได้ในภาวะของผลกระทบที่รุนแรงจากทั้งในและนอกประเทศ

หากคุณสนใจ สร้างแบรนด์เครื่องสําอางจากธรรมชาติ เรามีบริการให้คำปรึกษาครบวงจร  ติดต่อเรา

ที่มา : tmpcd.fda.moph.go.th

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน