โสมตังกุย สารสกัดเด็ดเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ

7 ประโยชน์ “โสมตังกุย” สารสกัดเพื่อ “ผู้หญิง” มีรอบเดือน ตังกุย หรือโสมตังกุยเป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับนิยมเป็นอย่างสูงในประเทศ จีน ญี่ปุน และเกาหลี โดยส่วนใหญ่ในตังกุยในการรักษา อาการปวดท้องประจำเดือน, อาการของผู้สูงอายุวัยทอง และอาการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับผู้หมดประจำเดือน นอกจากนั้นยังใช้ในการรักษา หรือบรรเทาอาการอะไรบ้าง ตาม SI ไปดูกันค่ะ

1. ช่วยบำรุงเลือด
ในช่วงเวลาที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ร่างกายจะอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายเสียเลือดมาก จึงมีความต้องการสารอาหารที่จะช่วยสร้างเลือดเพื่อชดเชยกับเลือดที่ร่างกายต้องเสียไป สามารถชดเชยด้วยการรับประทานอาหารจำพวกตับ เนื้อสัตว์ ที่มีธาตุเหล็กเยอะๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทน หรืออาจจะบำรุงเลือดเพิ่มเติมได้ด้วยการรับประทาน “สมุนไพร” โสมตังกุย ที่มีสรรพคุณการสร้างเลือด บำรุงเลือด และฟอกเลือด

2. รักษาโรคโลหิตจางในผู้หญิง
สมุนไพรตังกุยมีตัวยาที่สำคัญ ช่วยสร้างความเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลให้กับผู้หญิง ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สมุนไพรตังกุย ยังมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคโลหิตจาง เพราะในตังกุยอุดมไปด้วย วิตามินบี 12 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเลือด และยังช่วยให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น

3. แก้ปวดประจำเดือน
ตังกุย ถูกขนานนามว่าเป็น โสมสำหรับสตรี มีสารสำคัญคือ Ligustilide, Vitamin B12 จึงถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดประจำเดือน ขับประจำเดือน ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดได้เป็นอย่างดี

4. ยับยั้งเนื้องอกในมดลูก รังไข่
มีงานวิจัยที่พบว่าตังกุยช่วยยับยั้งการเจริญของเนื้องอก เช่น เนื้องอกในมดลูก เนื้องอกรังไข่ และมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งต่างๆ ต้านการอักเสบ และรักษาโรคหอบหืดได้ด้วย

5. รักษาอาการวูบวาบใน “ผู้หญิง”
เหง้าตังกุยนิยมนำมาใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยแก้ปวดเอว ปวดประจำเดือน ขับระดูของสตรี ปรับประจำเดือนให้เป็นปกติ แก้ประจำเดือนผิดปกติ ภาวะขาดประจำเดือน แก้อาการร้อนวูบวาบในผู้หญิงสูงวัย แก้อาการท้องผูกของสตรีมีครรภ์ แก้รกตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ นอกจากนี้ยังใช้รักษาเกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกชนิด

6. ยาแก้ลมสำหรับผู้หญิง
ในบัญชียาจากสมุนไพร ตามประกาศของคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) มีปรากฏการใช้โกฐเชียงหรือตังกุยในยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม มีปรากฏในตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” และตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง เป็นต้น

7. ช่วยฟอกเลือด
เหง้าตังกุยมีรสเผ็ดหวาน เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ตับ และม้าม ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ฟอกเลือด ช่วยรักษาภาวะเลือดพร่อง สีหน้าซีดขาวหรือซีดเหลือง เล็บและริมฝีปากซีด สีลิ้นซีด ช่วยสลายเลือดคั่ง เป็นต้น

ที่มา : greenclinic, medthai

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


มะขามป้อมกับ 15 ประโยชน์จัดเต็ม!

มะขามป้อมที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ ช่วยรักษาโรคหลากหลาย เช่น ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง โรคเบาหวาน ตับอ่อนอักเสบ โรคมะเร็ง ท้องเสีย โรคทางสายตา ปวดข้อ ถ่ายเป็นเลือด โรคอ้วน โรคข้อเข่าเสื่อม หรือฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และคุณประโยชน์อีกมากมายจะมีอะไรบ้างนั้น ตาม SI ไปดูกันค่ะ

1. อุดมไปด้วยสารอาหารและเป็นแหล่งของวิตามินซี เชื่อว่าถ้าพูดถึงผลไม้วิตามินซีสูง หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงส้ม แต่หารู้ไม่ว่าผลไม้อย่างมะขามป้อมนั้นมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึงเท่าตัว แถมในมะขามป้อมยังมีสารแทนนินและโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารป้องกันการสลายตัวของวิตามินซี ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นานอีกด้วย

2. แก้ไอ เจ็บคอ ลดเสมหะ แก้หวัด ถ้าพูดถึงประโยชน์ดี ๆ ของมะขามป้อม แทบทุกคนคงจะต้องบอกว่าช่วยแก้ไอ แก้หวัด ละลายเสมหะ รักษาอาการเจ็บคอแน่นอน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารกลุ่มแทนนิน แถมรสเปรี้ยวของมะขามป้อมยังช่วยละลายเสมหะและบำรุงเสียงได้

3. เสริมสร้างภูมิต้านทาน สารแทนนินและวิตามินซีที่มีอยู่ในมะขามป้อม เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย

4. โรคข้อเข่าเสื่อม ตามแนวทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียได้ใช้สมุนไพรหลายชนิดในการรักษาโรค โดยมะขามป้อมเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่เชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเป็นส่วนผสมอยู่ในตำรับยาดังกล่าว จึงมักถูกนำมาใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

5. รักษาลักปิดลักเปิด มีงานวิจัยพบว่า ร่างกายคนเราสามารถดูดซึมวิตามินซีจากมะขามป้อมได้ดีกว่าวิตามินซีเม็ดทั่วไป เนื่องจากในมะขามป้อมมีสารอื่น ๆ ที่ช่วยให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคลักปิดลักเปิดที่มีอาการเลือดออกตามไรฟัน ซึ่งเป็นโรคที่ร่างกายขาดวิตามินซีจึงควรทานมะขามป้อมที่มีวิตามินซีสูงเข้าไปมาก ๆ เพราะสามารถช่วยให้หายจากโรคนี้ได้

6. บรรเทาอาการคันจากเชื้อรา น้ำกัดเท้า เราสามารถนำรากของมะขามป้อมมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ และนำไปต้มประมาณ 15 นาที จากนั้นก็นำมาทาบริเวณที่เป็นเชื้อรา ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ ส่วนใครที่มีอาการคันจากน้ำกัดเท้า ให้นำเปลือกมะขามป้อมไปตำผสมกับน้ำเล็กน้อย แล้วนำมาทาบริเวณที่คันก็จะช่วยรักษาได้ หรือหากใครอยากจะฆ่าเชื้อโรคหรือป้องกันน้ำกัดเท้าไว้ก่อน จะนำเปลือกของต้นมะขามป้อมไปแช่น้ำ แล้วนำเท้าไปแช่ก็จะช่วยให้ผิวบริเวณเท้าหนาขึ้น เนื่องจากความฝาดของเปลือกมะขามป้อมจะช่วยตะกอนโปรตีน ทำให้ผิวหนังของเท้าและข้อเท้าหนาขึ้น ทนทานต่อการเกิดน้ำกัดเท้ามากยิ่งขึ้น

7. รักษาแผล แก้ฟกช้ำ รู้หรือไม่ว่าเราสามารถนำเปลือกลำต้นของมะขามป้อมมาบดเป็นผงแล้วโรยที่บริเวณบาดแผลเพื่อรักษาแผลและอาการฟกช้ำได้ด้วย ส่วนใครที่เป็นแผลแล้วหายช้า เป็นแผลแล้วมีน้ำเหลืองไหลเยอะ หรือป่วยเป็นโรคน้ำเหลืองเสีย เราขอแนะนำให้ทานมะขามป้อม 1 ลูก ทุกวันหลังอาหาร เพราะในมะขามป้อมมีวิตามินอยู่มาก โดยเฉพาะวิตามินซี จะสามารถแก้อาการน้ำเหลืองเสียได้ค่ะ

8. รักษาหอบหืดนอกจากแก้ไข้หวัดแล้ว หากใครเป็นหอบหืดยังสามารถนำเมล็ดมะขามป้อมมาตำเป็นผง แล้วชงดื่มกับน้ำร้อน ก็ช่วยรักษาให้หายได้ด้วย

9. แก้อาการผื่นคัน ใครที่มีอาการผิวหนังอักเสบหรือเป็นผื่นคัน เราขอแนะนำให้นำใบมะขามป้อมมาต้มอาบ หรือนำเมล็ดมาเผาแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนำไปผสมกับน้ำมัน คนให้เข้ากันจนเหลวข้น แล้วนำมาทาแผล จะช่วยบรรเทาอาการคัน แก้พิษน้ำร้อนลวก และช่วยรักษาแผลได้

10. เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ยางของผลมะขามป้อมและวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราดีขึ้น และแก้อาการท้องผูกได้ ฉะนั้นมะขามป้อมจึงถือเป็นผลไม้อย่างหนึ่งที่ช่วยแก้อาการท้องผูกได้ดี แถมยังมีคนนำไปสกัดเข้าเครื่องยา ทำเป็นยาระบายได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หากเราทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้มีอาการท้องเสียแทนได้ ดังนั้นควรควบคุมปริมาณการทานในแต่ละวันด้วยนะคะ

11. บำรุงผิว วิตามินซีในมะขามป้อมยังสามารถบำรุงผิวพรรณ ให้กระจ่างใส ชะลอการเกิดริ้วรอย

12. บำรุงผม มีการนำมะขามป้อมมาสกัดทำเป็นยาสระผม มะขามป้อมสามารถบำรุงรักษาเส้นผมให้มีสุขภาพแข็งแรง นุ่มลื่น และยังช่วยทำให้ผมดกดำ ป้องกันผมหงอกได้ด้วย

13. บำรุงร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื่องจากมะขามป้อมมีสารอาหารมากมาย ที่ช่วยบำรุงทั้งผม สมอง ดวงตา คอ หลอดลม ปอด หัวใจ ตับ ตับอ่อน ไต กระเพาะ ลำไส้ และผิวหนัง แถมยังช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย บำรุงกำลัง บำรุงเลือด ลดความดันเลือดสูง และปรับประจำเดือนให้มาปกติได้ จึงบอกได้เลยว่าการทานมะขามป้อมช่วยบำรุงร่างกายเราให้ดีขึ้นได้แทบทุกส่วนจริง ๆ ค่ะ

14. ต้านมะเร็ง มีการวิจัยพบว่าสารฝาดในมะขามป้อมอย่างกรดแกลลิคและสารแทนนินสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งไม่ให้ก่อตัวในร่างกายเราได้ แถมมะขามป้อมยังสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารแทนนินที่ประกอบไปด้วย emblicanin A, emblicanin B, punigluconin และ peduculagin

15. ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด การแพทย์ทางเลือกด้านอายุรเวท (Ayurveda) ระบุคุณประโยชน์ของมะขามป้อมไว้หลายด้าน รวมถึงสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากอุดมไปด้วยสารสำคัญหลายตัว โดยเฉพาะสารเพกทิน (Pectin) และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่มีองค์ประกอบทางเคมีและมีรายงานว่ามีฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเลือด

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


 

อาหารกับโรคข้อเข่าเสื่อม

ผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม หรือมีอาการปวดหัวเข่าจากสาเหตุอื่นๆ การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะยิ่งทำให้อาการลุกลามหรือหายช้า จึงควรปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือการปรับการกินอาหาร แม้ว่าอาหารที่กินนั้นจะไม่ได้ช่วยในการรักษาโรคโดยตรง แต่หากผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เหมาะสมก็จะลดปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว และลดโอกาสการเกิดการอักเสบ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างข้อกระดูกรวมถึงกล้ามเนื้อให้แข็งแรงได้อีกทางหนึ่ง วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จักอาหารที่ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมควรรับประทาน จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันนะคะ

1.อาหารมีกรดไขมันโอเมก้า3 สูง โดยเฉพาะอาหารทะเล เช่น ปลาทะเล ปลาแซลมอน หรือแม้แต่ปลาน้ำจืดประเภทปลาเนื้อขาว จะช่วยบำรุงข้อต่อกระดูกให้แข็งแรง และลดอาการปวดหรืออักเสบในผู้ป่วยที่มีข้อเข่าอักเสบ และลดอาการติดแข็งบริเวณข้อต่างๆ

2. อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือเบต้าแคโรทีนสูง โดยเฉพาะผักต่างๆ อย่างใบยอ ยอดแค ผักโขม ผักคะน้า บรอกโคลี ผักกระเฉด ถั่วงอก อีกทั้งยังควรกินผักให้หลากสี เช่น มะเขือเทศสีแดง แครอทสีส้ม กะหล่ำปลีสีม่วง ข้าวโพดและฟักทองสีเหลือง เพราะจะได้วิตามินที่หลากหลาย โดยเฉพาะผักใบเขียวต่างๆ จะมีวิตามินเคที่มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกค่อนข้างสูง

3. อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น อัลมอนด์อบ งาดำ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้หลอด แม้แต่การกินปลาตัวเล็กตัวน้อยก็จะช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กระดูกแข็งแรง ทั้งนี้ควรจะกินอาหารที่มีวิตามินดีสูง จำพวก นม ไข่ ปลาซาดีน ควบคู่กันไปได้ด้วย เพราะวิตามินดีจะช่วยเรื่องการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

4. อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี โดยเฉพาะผลไม้ต่างๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม สับปะรด มะละกอสุก เพราะวิตามินซีจะช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระอีกทางหนึ่ง

5. อาหารที่มีสารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ เช่น เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แอปเปิ้ล ชาเขียว หัวหอม และมะเขือเทศ จะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมวิตามินซี สร้างความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อ ทำให้ผนังหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอยแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการฟกช้ำ บวม

ที่มา www.phyathai.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


สมองดี ความจำดี เริ่มต้นที่อาหาร

สมองดี เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เพราะสมองมีบทบาทต่อการทำงานของอวัยวะหรือระบบอื่น ๆ ด้วย เช่น ระบบประสาท การเคลื่อนไหวของแขน ขา ไปจนถึงการเดิน การทรงตัว และความจำ ปัจจุบันคนไทยมีความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมองเพิ่มขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป สมองต้องการสารอาหารทั้ง 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการทำงานของสมอง จึงควรรับประทานอาหารให้ได้ครบ 5 หมู่ หลากหลายและไม่มากไม่น้อยจนเกินไป วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของอาหารบำรุงสมองจะมีอะไรบ้างนั้นดูกันเลยค่ะ

คาร์โบไฮเดรต สมองต้องการคาร์โบไฮเดรตในรูปน้ำตาลกลููโคสเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตในรูปที่ไม่ขัดสี เพราะการรับประทานแป้งและน้ำตาลมากเกินไปส่งผลให้สมองเฉื่อย

โปรตีน ทำหน้าที่ช่วยเป็นสารสื่อระหว่างเซลล์กับเซลล์ ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมัน และในหนึ่งสัปดาห์ควรรับประทานปลาน้ำลึกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เนื่องจากมีสารโอเมกา-3 ซึ่งเป็นสารบำรุงสมองที่สำคัญ แต่หลักสำคัญคือ อย่ารับประทานปลาเพียงชนิดเดียว ควรเลือกรับประทานปลาหลากชนิดสลับหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างที่อาจอยู่ในเนื้อปลา สำหรับปลาในประเทศไทย เช่น ปลาทู ปลากระพง ปลาเก๋า ก็เป็นปลาที่มีโอเมกา-3 เช่นกัน สามารถเลือกรับประทานสลับกันไปได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องรับประทานปลาทะเลทุกมื้อ อาจเปลี่ยนเป็นปลาน้ำจืดบ้าง แต่ควรทำให้สุกเพื่อป้องกันพยาธิและแบคทีเรียต่างๆ โดยวิธีการปรุงอาหารควรใช้การนึ่ง ต้ม หรือย่าง จะดีกว่าการทอด

ไขมัน มีความสำคัญในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและเยื่อบุผิวของเนื้อเยื่อสมอง โดยกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมอง เยื่อหุ้มประสาทสมอง และการทำงานของร่างกาย ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่รู้จักกันดีในชื่อโอเมก้า 3, 6 และ 9 ทั้งนี้ควรเลือกรับประทานเฉพาะไขมันหรือน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว ไขมันทรานส์ เพราะนอกจากไขมันเหล่านี้จะมีผลต่อสมอง โดยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอัลไซเมอร์ถึง 2 เท่าแล้วยังส่งผลร้ายกับหัวใจอีกด้วย

วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองแข็งแรง พบมากในถั่ว งา ข้าวโพด หรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าว เช่น ขนมปังที่ทำจากแป้งไม่ขัดขาวหรือมีธัญพืชผสม พาสตา รวมถึงในข้าวกล้องที่เรารับประทานกันทุกวัน สำหรับในผู้สูงอายุแนะนำให้รับประทานงาคั่วและบด เพราะจะช่วยให้ย่อยได้ดีกว่าการรับประทานเป็นเม็ด

วิตามินบี 5 ช่วยในการถ่ายทอดสัญญาณประสาทเมื่อถูกกระตุ้น พบในเนื้อวัว สัตว์ปีก ไข่ ปลา ธัญพืช รวมถึงนมสดและผลไม้

โคลีน เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงสมอง มีอยู่ในอาหารจำพวกข้าวกล้อง ข้าวโพด ซึ่งมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ในคนที่ชอบรับประทานข้าวโพดฝานมักจะไม่ได้รับโคลีน ดังนั้นควรใช้มีดฝานลงไปให้ลึกถึงซังข้าวโพดเพื่อให้ได้รับโคลีน นอกจากนี้ โคลีนยังพบได้ในไข่แดง ซึ่งคนที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงต้องระวังไม่รับประทานมากเกินไป

วิตามินบี 6 ช่วยในการผลิตสารเคมีในสมอง พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ธัญพืช

วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ และบำรุงเนื้อเยื่อประสาท พบได้แต่เฉพาะในเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ ในคนที่ขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจึงควรหมั่นตรวจว่ามีโรคของวิตามินบี 12 ต่ำหรือไม่ ถ้าต่ำแพทย์อาจให้รับประทานวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดเพิ่มเติม

กรดโฟลิก จำเป็นต่อระบบรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกในสมอง พบมากในกล้วย ส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี แคนตาลูป ผักใบเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง หรือถั่วลันเตา และเป็นกรดที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ช่วยในการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกจากแม่ไปสู่ลูก

แมงกานีส เป็นเกลือแร่ที่ช่วยดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท พบมากในอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม แต่ต้องระวังในเรื่องของคอเลสเตอรอลและแบคทีเรียในกรณีที่รับประทานสด

แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม เป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท พบในผักใบเขียวและผลไม้ เช่น กล้วยหอม สับปะรด ทั้งนี้การรับประทาน ผัก ผลไม้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง และป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

สารแคปไซซิน มีอยู่ในเม็ดพริก ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดขนาดเล็กในสมองได้ดี ควรรับประทานพริกสดมากกว่าพริกป่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อราอะฟลาทอกซิน แต่ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารควรระมัดระวัง เพราะพริกอาจทำให้เป็นแผลมากขึ้น

วิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม จึงอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ สารต้านอนมูลอิสระนี้พบในผัก ผลไม้ และถั่วต่างๆ ควรรับประทานผักผลไม้สีเข้มๆ ต่างชนิดกันไป

ขมิ้น มีสารเคอร์คูมิน ช่วยต้านการอักเสบและลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลไซเมอร์ มีงานวิจัยที่พบว่าชาวอินเดียมีอัตราการเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากใช้ขมิ้นประกอบอาหารกันมาก

ที่มา www.bumrungrad.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


อะเซล่าเชอร์รี่กับ 9 ประโยชน์จัดเต็ม

อะเซล่าเชอร์รี่ ประโยชน์ นอกจากความสวยงามแล้ว อะเซล่าเชอร์รี่ ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อรับประทาน เช่นกิน อะเซล่าเชอร์รี่ เพื่อบำรุงสุขภาพร่างกาย ป้องกันหวัด และยังสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สำหรับอาหารเสริมวิตามินอย่างอะเซโรลาเชอร์รี่ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

ในกลุ่มหนุ่มสาววัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา เพราะนอกจากจะดูแลสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของอาหารเสริมอื่น ๆ โดยการช่วยดูดซึมให้เข้าสู่ร่างกายให้ดีมากยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้น ตาม SI ไปดูกันค่ะ

1. เสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน
เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเร่งการสร้างเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยและทำให้ผิวยังคงกระชับและยืดหยุ่นอยู่เสมอ

2. สมานผิวพร้อมลดเลือนริ้วรอย
ประโยชน์อีกอย่างประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ต่อผิวหนังคือเป็นตัวช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และกระทั่งช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนั้น น้ำจากเชอร์รี่ดังกล่าวสามารถใช้เป็นยาน้ำป้วนปากที่ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพได้อีกด้วย

3. ปกป้องผิวจากมลภาวะ
การบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวของคุณจะได้รับการปกป้องจากตัวทำให้เกิดความตึงเครียด จากสารเคมี (Chemical Stressor) อย่างควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

4. เร่งการฟื้นฟูสภาพผิว

อะเซโรลาเชอร์รี่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล แผลไฟไหม้ แผลเป็น และกระทั่งรอยแตกลาย และยังมีไบโอฟลาโวนอยด์เป็นส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวออกไป ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ยังช่วยต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ริ้วรอยร่องตื่น รอยตีนกา รอยใต้โหนกแก้ม จุดด่างดำ รอยหมองค้ำ ฯลฯ

5. ต่อต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินซีที่มีอยู่มากใน Acerola Cherry ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากการถูกทำลายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงและถูกทำลายในที่สุด อีกทั้ง อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเจ็บป่วยและโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้

6. ลดอาการภูมิแพ้
ช่วยลดอาการภูมิแพ้ รวมทั้งอาการแพ้ต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้ โดยสามารถช่วยยับยั้งสาร ฮีสตามิน ซึ่งร่างกายได้ผลิตขึ้นมา หากร่างกายมีมากเกินไปจะทำให้มีอาการของระบบหายใจระคายเคือง ทำให้จาม และมีอาการมีน้ำมูกไหล ทำให้อะเซล่าเชอร์รี่สามารถช่วยดูแลได้ด้วยคุณภาพโยชน์จากวิตามินต่าง ๆ

7. ปกป้องจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิว
ประโยชน์ต่อผิวหนังอีกประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ คือ สามารถปกป้องคุณจากรังสียูวีได้ โดยปริมาณวิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายได้ เพราะหากคุณสัมผัสกับรังสียูวีมากจนเกินไปจะทำให้ผิวเสีย ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้นจะนำไปสู่มะเร็งผิวหนังที่ไม่มีต้องการให้เกิดขึ้นได้

8. ทำให้ผิวชุ่มชื้น
สารอาหารต่างๆ มากมายในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวหนังของคุณอิ่มน้ำและคงความชุ่มชื้นไว้ได้ ไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นประเภทใดก็ตาม

9. จัดการกับสิวและปัญหาผิวหนังอื่นๆ
วิตามินซียังมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิวและแผลเป็น เพราะมันช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลและการลดรอยแดงของร่างกาย และวิตามินซีนี้ยังช่วยลด Cortisol ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวอีกด้วย

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


10 อาหารบำรุงสมอง ตัวช่วยป้องกันสมองเสื่อม

ใครที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ สมาธิสั้น ความจำสั้น เรียนรู้ได้ช้า นอนไม่ค่อยอิ่ม ต้องรีบหาอาหารมาบำรุงสมองโดยด่วน ขืนปล่อยไว้นานๆ มีสิทธิเป็นโรคความจำเสื่อมได้แน่ๆ ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยดูแลสมองของเราได้ แล้วมีอาหารอะไรบ้างล่ะที่ช่วยบำรุงสมองได้ วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของ 10 สุดยอดอาหารบำรุงสมอง แถมยังช่วยเพิ่มความจำมาฝากกันค่ะ

1.ปลา จริงอย่างที่เขาว่ากันว่า กินปลาแล้วจะฉลาด โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลา ทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น พวกนี้เป็นอาหารที่ประโยชน์สูงสุดต่อสมองมาก หรือรับประทานน้ำมันปลาแทนได้

2.ผลไม้รสเปรี้ยวตระกูลเบอร์รี ได้แก่ บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี เชอร์รี จะช่วยเสริมสุขภาพสมอง ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ช่วยลดความดันโลหิตที่สูงให้สมดุล มีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยเพิ่มความสามารถในการคิด และระดับไอคิวได้ดี ทั้งยังป้องกันการสูญเสียความจำระยะสั้น ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทในฮิปโปแคมปัส ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อความทรงจำ

3.ผักโขม ช่วยลดอาการความจำเสื่อมได้ โดยเฉพาะในผู้หญิง มีการวิจัยพบว่า หญิงวัยกลางคนที่รับประทานผักโขม ร่วมกับผักใบเขียวชนิดอื่นๆ เป็นประจำ จะช่วยลดอาการความจำเสื่อมไปได้ถึง 2 ปี ผักโขม มีเอนไซม์ที่ดีต่อความแข็งแกร่งของปลายเซลล์ประสาท และเสริมความแข็งแรงตัวรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทั้งยังมีกรดโฟลิกสูงที่ดีต่อการจำ ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย นักประสาทวิทยาแนะนำว่า ควรกินผักโขม อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะผักโขมที่ปลูกแบบออร์แกนิก ซึ่งไร้สารพิษตกค้าง

4.ไข่ เป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยพัฒนาระบบการทำงานของสมอง โดยล่าสุดนี้พบว่า สารโคลินในไข่ไก่ จะทำหน้าที่สำคัญต่อการพัฒนาการทำงานของสมอง และความจำ

5.แครอท หากต้องการกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างสดชื่นแบบเร่งด่วน ควรรับประทานผลไม้สด โดยเฉพาะแครอทสด รับประทานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้มีความจำที่ดีได้

6.พืชตระกูลถั่ว ไม่ว่าจะเป็น ฮาเซลนัท อัลมอนด์ ถั่วลิสง แมคคาเมีย และวอลนัท ที่ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งถั่ว ล้วนเป็นแหล่งรวมโปรตีน มีไฟเบอร์สูง และมีไขมันดีมาก เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่ช่วยทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ขณะที่โปรตีนและไขมันช่วยให้ร่างกายสมดุล สงบ ผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีวิตามินอีที่สำคัญต่อกระบวนการคิดและจำ

7.อาหารประเภทธัญพืช เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดแฟลกซ์ ที่มีโปรตีนสูง มีไขมันดี และวิตามินเอสูง ขณะเดียวกันก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเพิ่มสารอาหารกระตุ้นสมอง แมกนีเซียมทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี เต็มไปด้วยเส้นใยอาหาร มีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม รวมทั้งยังมีโอเมก้าสูง และจะดีมากหากรับประทานเป็นอาหารเช้า เพื่อเพิ่มพลังในวันใหม่

8.แอปเปิ้ล การดื่มน้ำแอปเปิ้ลวันละประมาณ 2 แก้ว หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ลูก มีส่วนช่วยเพิ่มการสร้างสื่อประสาทใบสมองที่มีชื่อว่า “อะเซทิลโคลีน” ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถเรียนรู้ในการจำ และการเรียนรู้ และยังเพิ่มประสิทธิภาพความจำของสมอง ส่วนฮิปโปแคมปัส จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้

9.ช็อกโกแลต ช่วยกระตุ้นสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยระบบหมุนเวียนเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ ที่สำคัญช่วยพัฒนาความจำได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังผลิตสารเอ็นดอร์ฟิน และเซโทโรนิน ที่เป็นสารแห่งความสุขในสมอง ทำให้อารมณ์ดี โดยพกแท่งเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าไว้กินเวลาว่าง เมื่อต้องการความสดชื่นจะช่วยผ่อน คลายสมองได้

10.แปะก๊วย เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคสมองเสื่อม โรคซึมเศร้า อาการหลงๆ ลืมๆ จึงนิยมแนะนำให้ใช้เพื่อปรับปรุงระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ส่งผลต่อการกระทำงานและประสิทธิภาพของสมอง และยังมีการสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในรูปแบบวิตามินเพื่อบำรุงสมองอีกด้วย

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ที่มา  www.dmh.go.th


ผิวสวยสั่งได้! ด้วย 6 วิตามินบำรุงผิว

การมีสุขภาพผิวที่ดีมีค่ายิ่งกว่าทองคำ สาวๆเห็นด้วยกันไหมคะ ก็จะไม่ให้พูดแบบนี้ได้ยังไง เพราะนี่คือเรื่อจริงที่ไม่ว่าสาวๆ ยุคไหน สมัยไหนก็ตามต้องใฝ่ฝันและถวิลหาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการมีผิวที่เนียนใส เปล่งปลั่งอออร่า และมีความเด้งดึ๋งยิ่งกว่าผิวเด็ก แต่ยุคนี้สมัยนี้จะดูแลให้ผิวสวย เนียนใส เป็นเรื่องที่ต้องขอบอกเลยว่ายากมากจริงๆ โดย เฉพาะสาวๆ วัยทำงาน ที่มีชีวิต Busy อย่างเราๆ นอกจากจะยังไม่มีเวลาแล้ว สภาพอากาศ และมลภาวะต่างๆ โดยเฉพาะมลภาวะสุดฮิต PM 2.5 ในบ้านเราที่เป็นตัวการให้ผิวของสาว ๆ หมดความสดใส รวมทั้งเป็นต้นตอของปัญหาด้านริ้วรอย จุดด่างดำ และอายุผิวที่ล้ำไปก่อนวัยอันควรอีกด้วย

การมีผิวสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เห็นด้วยมั้ยคะ เพราะยุคนี้ใครอยากมีผิวขาวใส เนียนสวย ก็สามารถจะทำได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือหากใครต้องการผิวใสเร่งด่วน อาหารเสริม วิตามินบำรุงผิวเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจค่ะ วันนี้ SI มี 6 วิตามิน ที่จะช่วยสั่งผิวให้สวยได้ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันค่ะ

1. วิตามินซี สำหรับคนที่อยากมีผิวขาวใส 
วิตามินผิวยอดฮิตอย่าง วิตามินซี หลายคนคงรู้จักวิตามินตัวนี้เป็นอย่างดี วิตามินซีมีความสำคัญต่อผิวก็คือ ทำให้ผิวขาวดูกระจ่างใส และเป็นเกราะป้องกันผิวคล้ำเสียจากแสงแดดและช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวของสาวๆเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ สำหรับใครที่อยากเติมความเต่งตึงให้กับผิว เราขอแนะนำให้รับประทานวิตามินซี 1,000 มก.ต่อวัน หรือถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงให้ล้ำขึ้นไปอีกก็สามารใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย เพราะจะทำให้ผิวหน้าหรือผิวกายของสาวๆ แลดูขาวใส สุขภาพดี

2. วิตามินอี สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
วิตามินที่สำคัญไม่แพ้กันอย่าง วิตามินอี หนึ่งในแม่ทัพสำคัญเพื่อการดูแลผิวของสาวๆ โดยวิตามินอีมีบทบาทในการช่วยทำลายอนุมูลอิสระ เป็นมอยส์เจอไรเซอร์คอยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยเฉพาะสาวๆที่มีผิวแห้งกร้านควรรับประทานอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือให้ครีมดูแลผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินอีให้บ่อยครั้งหรือเป็นประจำ นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยในการปกป้องริ้วรอยก่อนวัย และความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง ส่วนปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอยู่ที่ 200 – 1,200 IU หรือประมาณ 135 – 800 มก.ต่อวัน ยิ่งถ้าหากรับประทานหรือใช้ควบคู่กับวิตามินซีก็จะยิ่งช่วยให้ผิวปังยิ่งขึ้น

3. วิตามินเค สำหรับคนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ
ใครที่มีปัญหาผิวฟกช้ำ หรือใต้ตาคล้ำแนะนำ วิตามินเค ลองเปลี่ยนมารับประทาน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเคดูบ้าง แล้วจะรู้ว่าแก้ปัญหาความคล้ำ กระดำกระด่างได้จริง โดยวิตามินเค ยังมีส่วนช่วยในกระบวนการรักษาการแข็งตัวของเลือด โดยอาหารที่เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคก็ได้แก่ กะหล่ำปลี ตับ นม ผักใบเขียว น้ำมันมะกอก เป็นต้น

4. วิตามินดี ช่วยป้องกันการเกิดสิว
มากันที่วิตามินที่มักจะถูกลืม อย่าง วิตามินดี น้อยคนอาจจะรู้ว่าวิตามินดีก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับผิวที่สวยใส โดยแหล่งรวมที่หาง่ายที่สุดของวิตามินดีก็คือ แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ซึ่งผิวของเราสามารถสังเคราะห์ได้ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ การสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย รวมทั้งครีมกันแดด จึงทำให้คนส่วนใหญ่ขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว สำหรับวิตามินดีนั้น มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันปัญหาการเกิดสิว และการติดเชื้อต่างๆ ส่วนแหล่งรวมของวิตามินดี เช่น น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น

5. วิตามินบี 3 ผิวขาวกระจ่างใส ลดการระคายเคือง
เอาใจคนที่ชื่นชอบและใฝ่ฝันอยากมีผิวกระจ่างใสกันบ้างกับ วิตามินบี3 วิตามินชนิดนี้ช่วยในเรื่องการกระจายเม็ดสีผิว การเร่งการผลัดเซลส์ผิว เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน รวมทั้งลดการสร้างเมลานิน จึงทำให้กระฝ้าจางลง และยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ป้องกันการสูญเสียน้ำได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดการระคายเคือง รอยแดงต่าง ๆ ให้จางลง ส่วนแหล่งรวมวิตามินบี 3 นั้นก็มีทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ครีมบำรุง อาหารประเภทโฮลวีท จมูกข้าวสาลี ไข่ ลูกพรุน เป็นต้น

6. วิตามินบี 5 ช่วยรักษาสิว ให้ผิวนุ่ม
ปิดท้ายกันที่ วิตามินบี 5 หรือที่เรียกกันว่ากรดแพนโทธีนิก อันที่จริงแล้วต้องบอกว่า วิตามินบี 5 พบได้ในปริมาณน้อยในอาหารชนิดต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าจะหายากหรือหาไม่ได้เลย โดยสามารถหาได้ในอาหารประเภท เนื้อไก่ ไต หัวใจสัตว์ ธัญพืชที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี เช่น รำข้าว จมูกข้าวสาลี ส่วนทางด้านคุณสมบัติของวิตามินบี 5 นั้นสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการรักษาสิว ช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก รวมทั้งเพิ่มความเนียนนุ่มให้ผิวน่าสัมผัส แต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าการใช้วิตามินบี 5 นั้น ควรรับประทานในรูปแบบอาหารเสริม หรือครีมที่มีส่วนผสมจะดีที่สุด

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ที่มา www.watsons.co.th


ผิวสวยสั่งได้! ด้วย 6 วิตามินบำรุงผิว

การมีสุขภาพผิวที่ดีมีค่ายิ่งกว่าทองคำ สาวๆเห็นด้วยกันไหมคะ ก็จะไม่ให้พูดแบบนี้ได้ยังไง เพราะนี่คือเรื่อจริงที่ไม่ว่าสาวๆ ยุคไหน สมัยไหนก็ตามต้องใฝ่ฝันและถวิลหาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการมีผิวที่เนียนใส เปล่งปลั่งอออร่า และมีความเด้งดึ๋งยิ่งกว่าผิวเด็ก แต่ยุคนี้สมัยนี้จะดูแลให้ผิวสวย เนียนใส เป็นเรื่องที่ต้องขอบอกเลยว่ายากมากจริงๆ โดย เฉพาะสาวๆ วัยทำงาน ที่มีชีวิต Busy อย่างเราๆ นอกจากจะยังไม่มีเวลาแล้ว สภาพอากาศ และมลภาวะต่างๆ โดยเฉพาะมลภาวะสุดฮิต PM 2.5 ในบ้านเราที่เป็นตัวการให้ผิวของสาว ๆ หมดความสดใส รวมทั้งเป็นต้นตอของปัญหาด้านริ้วรอย จุดด่างดำ และอายุผิวที่ล้ำไปก่อนวัยอันควรอีกด้วย

การมีผิวสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เห็นด้วยมั้ยคะ เพราะยุคนี้ใครอยากมีผิวขาวใส เนียนสวย ก็สามารถจะทำได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือหากใครต้องการผิวใสเร่งด่วน อาหารเสริม วิตามินบำรุงผิวเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจค่ะ วันนี้ SI มี 6 วิตามิน ที่จะช่วยสั่งผิวให้สวยได้ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันค่ะ

1. วิตามินซี สำหรับคนที่อยากมีผิวขาวใส 
วิตามินผิวยอดฮิตอย่าง วิตามินซี หลายคนคงรู้จักวิตามินตัวนี้เป็นอย่างดี วิตามินซีมีความสำคัญต่อผิวก็คือ ทำให้ผิวขาวดูกระจ่างใส และเป็นเกราะป้องกันผิวคล้ำเสียจากแสงแดดและช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวของสาวๆเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ สำหรับใครที่อยากเติมความเต่งตึงให้กับผิว เราขอแนะนำให้รับประทานวิตามินซี 1,000 มก.ต่อวัน หรือถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงให้ล้ำขึ้นไปอีกก็สามารใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย เพราะจะทำให้ผิวหน้าหรือผิวกายของสาวๆ แลดูขาวใส สุขภาพดี

2. วิตามินอี สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
วิตามินที่สำคัญไม่แพ้กันอย่าง วิตามินอี หนึ่งในแม่ทัพสำคัญเพื่อการดูแลผิวของสาวๆ โดยวิตามินอีมีบทบาทในการช่วยทำลายอนุมูลอิสระ เป็นมอยส์เจอไรเซอร์คอยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยเฉพาะสาวๆที่มีผิวแห้งกร้านควรรับประทานอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือให้ครีมดูแลผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินอีให้บ่อยครั้งหรือเป็นประจำ นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยในการปกป้องริ้วรอยก่อนวัย และความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง ส่วนปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอยู่ที่ 200 – 1,200 IU หรือประมาณ 135 – 800 มก.ต่อวัน ยิ่งถ้าหากรับประทานหรือใช้ควบคู่กับวิตามินซีก็จะยิ่งช่วยให้ผิวปังยิ่งขึ้น

3. วิตามินเค สำหรับคนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ
ใครที่มีปัญหาผิวฟกช้ำ หรือใต้ตาคล้ำแนะนำ วิตามินเค ลองเปลี่ยนมารับประทาน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเคดูบ้าง แล้วจะรู้ว่าแก้ปัญหาความคล้ำ กระดำกระด่างได้จริง โดยวิตามินเค ยังมีส่วนช่วยในกระบวนการรักษาการแข็งตัวของเลือด โดยอาหารที่เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคก็ได้แก่ กะหล่ำปลี ตับ นม ผักใบเขียว น้ำมันมะกอก เป็นต้น

4. วิตามินดี ช่วยป้องกันการเกิดสิว
มากันที่วิตามินที่มักจะถูกลืม อย่าง วิตามินดี น้อยคนอาจจะรู้ว่าวิตามินดีก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับผิวที่สวยใส โดยแหล่งรวมที่หาง่ายที่สุดของวิตามินดีก็คือ แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ซึ่งผิวของเราสามารถสังเคราะห์ได้ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ การสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย รวมทั้งครีมกันแดด จึงทำให้คนส่วนใหญ่ขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว สำหรับวิตามินดีนั้น มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันปัญหาการเกิดสิว และการติดเชื้อต่างๆ ส่วนแหล่งรวมของวิตามินดี เช่น น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น

5. วิตามินบี 3 ผิวขาวกระจ่างใส ลดการระคายเคือง
เอาใจคนที่ชื่นชอบและใฝ่ฝันอยากมีผิวกระจ่างใสกันบ้างกับ วิตามินบี3 วิตามินชนิดนี้ช่วยในเรื่องการกระจายเม็ดสีผิว การเร่งการผลัดเซลส์ผิว เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน รวมทั้งลดการสร้างเมลานิน จึงทำให้กระฝ้าจางลง และยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ป้องกันการสูญเสียน้ำได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดการระคายเคือง รอยแดงต่าง ๆ ให้จางลง ส่วนแหล่งรวมวิตามินบี 3 นั้นก็มีทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ครีมบำรุง อาหารประเภทโฮลวีท จมูกข้าวสาลี ไข่ ลูกพรุน เป็นต้น

6. วิตามินบี 5 ช่วยรักษาสิว ให้ผิวนุ่ม
ปิดท้ายกันที่ วิตามินบี 5 หรือที่เรียกกันว่ากรดแพนโทธีนิก อันที่จริงแล้วต้องบอกว่า วิตามินบี 5 พบได้ในปริมาณน้อยในอาหารชนิดต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าจะหายากหรือหาไม่ได้เลย โดยสามารถหาได้ในอาหารประเภท เนื้อไก่ ไต หัวใจสัตว์ ธัญพืชที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี เช่น รำข้าว จมูกข้าวสาลี ส่วนทางด้านคุณสมบัติของวิตามินบี 5 นั้นสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการรักษาสิว ช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก รวมทั้งเพิ่มความเนียนนุ่มให้ผิวน่าสัมผัส แต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าการใช้วิตามินบี 5 นั้น ควรรับประทานในรูปแบบอาหารเสริม หรือครีมที่มีส่วนผสมจะดีที่สุด

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ที่มา www.watsons.co.th


10 อาหารบำรุงสมอง ตัวช่วยป้องกันสมองเสื่อม

ใครที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ สมาธิสั้น ความจำสั้น เรียนรู้ได้ช้า นอนไม่ค่อยอิ่ม ต้องรีบหาอาหารมาบำรุงสมองโดยด่วน ขืนปล่อยไว้นานๆ มีสิทธิเป็นโรคความจำเสื่อมได้แน่ๆ ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยดูแลสมองของเราได้ แล้วมีอาหารอะไรบ้างล่ะที่ช่วยบำรุงสมองได้ วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของ 10 สุดยอดอาหารบำรุงสมอง แถมยังช่วยเพิ่มความจำมาฝากกันค่ะ

1.ปลา จริงอย่างที่เขาว่ากันว่า กินปลาแล้วจะฉลาด โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลา ทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น พวกนี้เป็นอาหารที่ประโยชน์สูงสุดต่อสมองมาก หรือรับประทานน้ำมันปลาแทนได้

2.ผลไม้รสเปรี้ยวตระกูลเบอร์รี ได้แก่ บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี เชอร์รี จะช่วยเสริมสุขภาพสมอง ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง ช่วยลดความดันโลหิตที่สูงให้สมดุล มีวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยเพิ่มความสามารถในการคิด และระดับไอคิวได้ดี ทั้งยังป้องกันการสูญเสียความจำระยะสั้น ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทในฮิปโปแคมปัส ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อความทรงจำ

3.ผักโขม ช่วยลดอาการความจำเสื่อมได้ โดยเฉพาะในผู้หญิง มีการวิจัยพบว่า หญิงวัยกลางคนที่รับประทานผักโขม ร่วมกับผักใบเขียวชนิดอื่นๆ เป็นประจำ จะช่วยลดอาการความจำเสื่อมไปได้ถึง 2 ปี ผักโขม มีเอนไซม์ที่ดีต่อความแข็งแกร่งของปลายเซลล์ประสาท และเสริมความแข็งแรงตัวรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทั้งยังมีกรดโฟลิกสูงที่ดีต่อการจำ ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย นักประสาทวิทยาแนะนำว่า ควรกินผักโขม อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะผักโขมที่ปลูกแบบออร์แกนิก ซึ่งไร้สารพิษตกค้าง

4.ไข่ เป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยพัฒนาระบบการทำงานของสมอง โดยล่าสุดนี้พบว่า สารโคลินในไข่ไก่ จะทำหน้าที่สำคัญต่อการพัฒนาการทำงานของสมอง และความจำ

5.แครอท หากต้องการกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างสดชื่นแบบเร่งด่วน ควรรับประทานผลไม้สด โดยเฉพาะแครอทสด รับประทานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้มีความจำที่ดีได้

6.พืชตระกูลถั่ว ไม่ว่าจะเป็น ฮาเซลนัท อัลมอนด์ ถั่วลิสง แมคคาเมีย และวอลนัท ที่ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งถั่ว ล้วนเป็นแหล่งรวมโปรตีน มีไฟเบอร์สูง และมีไขมันดีมาก เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่ช่วยทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ขณะที่โปรตีนและไขมันช่วยให้ร่างกายสมดุล สงบ ผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีวิตามินอีที่สำคัญต่อกระบวนการคิดและจำ

7.อาหารประเภทธัญพืช เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดแฟลกซ์ ที่มีโปรตีนสูง มีไขมันดี และวิตามินเอสูง ขณะเดียวกันก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเพิ่มสารอาหารกระตุ้นสมอง แมกนีเซียมทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี เต็มไปด้วยเส้นใยอาหาร มีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม รวมทั้งยังมีโอเมก้าสูง และจะดีมากหากรับประทานเป็นอาหารเช้า เพื่อเพิ่มพลังในวันใหม่

8.แอปเปิ้ล การดื่มน้ำแอปเปิ้ลวันละประมาณ 2 แก้ว หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ลูก มีส่วนช่วยเพิ่มการสร้างสื่อประสาทใบสมองที่มีชื่อว่า “อะเซทิลโคลีน” ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถเรียนรู้ในการจำ และการเรียนรู้ และยังเพิ่มประสิทธิภาพความจำของสมอง ส่วนฮิปโปแคมปัส จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้

9.ช็อกโกแลต ช่วยกระตุ้นสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยระบบหมุนเวียนเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ ที่สำคัญช่วยพัฒนาความจำได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังผลิตสารเอ็นดอร์ฟิน และเซโทโรนิน ที่เป็นสารแห่งความสุขในสมอง ทำให้อารมณ์ดี โดยพกแท่งเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าไว้กินเวลาว่าง เมื่อต้องการความสดชื่นจะช่วยผ่อน คลายสมองได้

10.แปะก๊วย เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคสมองเสื่อม โรคซึมเศร้า อาการหลงๆ ลืมๆ จึงนิยมแนะนำให้ใช้เพื่อปรับปรุงระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ส่งผลต่อการกระทำงานและประสิทธิภาพของสมอง และยังมีการสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในรูปแบบวิตามินเพื่อบำรุงสมองอีกด้วย

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ที่มา  www.dmh.go.th


อะเซล่าเชอร์รี่กับ 9 ประโยชน์จัดเต็ม

อะเซล่าเชอร์รี่ ประโยชน์ นอกจากความสวยงามแล้ว อะเซล่าเชอร์รี่ ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพเมื่อรับประทาน เช่นกิน อะเซล่าเชอร์รี่ เพื่อบำรุงสุขภาพร่างกาย ป้องกันหวัด และยังสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สำหรับอาหารเสริมวิตามินอย่างอะเซโรลาเชอร์รี่ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

ในกลุ่มหนุ่มสาววัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา เพราะนอกจากจะดูแลสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของอาหารเสริมอื่น ๆ โดยการช่วยดูดซึมให้เข้าสู่ร่างกายให้ดีมากยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้น ตาม SI ไปดูกันค่ะ

1. เสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน
เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเร่งการสร้างเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยและทำให้ผิวยังคงกระชับและยืดหยุ่นอยู่เสมอ

2. สมานผิวพร้อมลดเลือนริ้วรอย
ประโยชน์อีกอย่างประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ต่อผิวหนังคือเป็นตัวช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และกระทั่งช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนั้น น้ำจากเชอร์รี่ดังกล่าวสามารถใช้เป็นยาน้ำป้วนปากที่ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพได้อีกด้วย

3. ปกป้องผิวจากมลภาวะ
การบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวของคุณจะได้รับการปกป้องจากตัวทำให้เกิดความตึงเครียด จากสารเคมี (Chemical Stressor) อย่างควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

4. เร่งการฟื้นฟูสภาพผิว

อะเซโรลาเชอร์รี่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล แผลไฟไหม้ แผลเป็น และกระทั่งรอยแตกลาย และยังมีไบโอฟลาโวนอยด์เป็นส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวออกไป ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ยังช่วยต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ริ้วรอยร่องตื่น รอยตีนกา รอยใต้โหนกแก้ม จุดด่างดำ รอยหมองค้ำ ฯลฯ

5. ต่อต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินซีที่มีอยู่มากใน Acerola Cherry ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากการถูกทำลายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงและถูกทำลายในที่สุด อีกทั้ง อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเจ็บป่วยและโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้

6. ลดอาการภูมิแพ้
ช่วยลดอาการภูมิแพ้ รวมทั้งอาการแพ้ต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้ โดยสามารถช่วยยับยั้งสาร ฮีสตามิน ซึ่งร่างกายได้ผลิตขึ้นมา หากร่างกายมีมากเกินไปจะทำให้มีอาการของระบบหายใจระคายเคือง ทำให้จาม และมีอาการมีน้ำมูกไหล ทำให้อะเซล่าเชอร์รี่สามารถช่วยดูแลได้ด้วยคุณภาพโยชน์จากวิตามินต่าง ๆ

7. ปกป้องจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิว
ประโยชน์ต่อผิวหนังอีกประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ คือ สามารถปกป้องคุณจากรังสียูวีได้ โดยปริมาณวิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายได้ เพราะหากคุณสัมผัสกับรังสียูวีมากจนเกินไปจะทำให้ผิวเสีย ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้นจะนำไปสู่มะเร็งผิวหนังที่ไม่มีต้องการให้เกิดขึ้นได้

8. ทำให้ผิวชุ่มชื้น
สารอาหารต่างๆ มากมายในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวหนังของคุณอิ่มน้ำและคงความชุ่มชื้นไว้ได้ ไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นประเภทใดก็ตาม

9. จัดการกับสิวและปัญหาผิวหนังอื่นๆ
วิตามินซียังมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิวและแผลเป็น เพราะมันช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลและการลดรอยแดงของร่างกาย และวิตามินซีนี้ยังช่วยลด Cortisol ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวอีกด้วย

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน