ผิวสวยสั่งได้! ด้วย 6 วิตามินบำรุงผิว

การมีสุขภาพผิวที่ดีมีค่ายิ่งกว่าทองคำ สาวๆเห็นด้วยกันไหมคะ ก็จะไม่ให้พูดแบบนี้ได้ยังไง เพราะนี่คือเรื่อจริงที่ไม่ว่าสาวๆ ยุคไหน สมัยไหนก็ตามต้องใฝ่ฝันและถวิลหาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการมีผิวที่เนียนใส เปล่งปลั่งอออร่า และมีความเด้งดึ๋งยิ่งกว่าผิวเด็ก แต่ยุคนี้สมัยนี้จะดูแลให้ผิวสวย เนียนใส เป็นเรื่องที่ต้องขอบอกเลยว่ายากมากจริงๆ โดย เฉพาะสาวๆ วัยทำงาน ที่มีชีวิต Busy อย่างเราๆ นอกจากจะยังไม่มีเวลาแล้ว สภาพอากาศ และมลภาวะต่างๆ โดยเฉพาะมลภาวะสุดฮิต PM 2.5 ในบ้านเราที่เป็นตัวการให้ผิวของสาว ๆ หมดความสดใส รวมทั้งเป็นต้นตอของปัญหาด้านริ้วรอย จุดด่างดำ และอายุผิวที่ล้ำไปก่อนวัยอันควรอีกด้วย

การมีผิวสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เห็นด้วยมั้ยคะ เพราะยุคนี้ใครอยากมีผิวขาวใส เนียนสวย ก็สามารถจะทำได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือหากใครต้องการผิวใสเร่งด่วน อาหารเสริม วิตามินบำรุงผิวเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจค่ะ วันนี้ SI มี 6 วิตามิน ที่จะช่วยสั่งผิวให้สวยได้ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันค่ะ

1. วิตามินซี สำหรับคนที่อยากมีผิวขาวใส 
วิตามินผิวยอดฮิตอย่าง วิตามินซี หลายคนคงรู้จักวิตามินตัวนี้เป็นอย่างดี วิตามินซีมีความสำคัญต่อผิวก็คือ ทำให้ผิวขาวดูกระจ่างใส และเป็นเกราะป้องกันผิวคล้ำเสียจากแสงแดดและช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวของสาวๆเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ สำหรับใครที่อยากเติมความเต่งตึงให้กับผิว เราขอแนะนำให้รับประทานวิตามินซี 1,000 มก.ต่อวัน หรือถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงให้ล้ำขึ้นไปอีกก็สามารใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย เพราะจะทำให้ผิวหน้าหรือผิวกายของสาวๆ แลดูขาวใส สุขภาพดี

2. วิตามินอี สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
วิตามินที่สำคัญไม่แพ้กันอย่าง วิตามินอี หนึ่งในแม่ทัพสำคัญเพื่อการดูแลผิวของสาวๆ โดยวิตามินอีมีบทบาทในการช่วยทำลายอนุมูลอิสระ เป็นมอยส์เจอไรเซอร์คอยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยเฉพาะสาวๆที่มีผิวแห้งกร้านควรรับประทานอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือให้ครีมดูแลผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินอีให้บ่อยครั้งหรือเป็นประจำ นอกจากนี้ วิตามินอียังช่วยในการปกป้องริ้วรอยก่อนวัย และความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง ส่วนปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอยู่ที่ 200 – 1,200 IU หรือประมาณ 135 – 800 มก.ต่อวัน ยิ่งถ้าหากรับประทานหรือใช้ควบคู่กับวิตามินซีก็จะยิ่งช่วยให้ผิวปังยิ่งขึ้น

3. วิตามินเค สำหรับคนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ
ใครที่มีปัญหาผิวฟกช้ำ หรือใต้ตาคล้ำแนะนำ วิตามินเค ลองเปลี่ยนมารับประทาน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเคดูบ้าง แล้วจะรู้ว่าแก้ปัญหาความคล้ำ กระดำกระด่างได้จริง โดยวิตามินเค ยังมีส่วนช่วยในกระบวนการรักษาการแข็งตัวของเลือด โดยอาหารที่เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคก็ได้แก่ กะหล่ำปลี ตับ นม ผักใบเขียว น้ำมันมะกอก เป็นต้น

4. วิตามินดี ช่วยป้องกันการเกิดสิว
มากันที่วิตามินที่มักจะถูกลืม อย่าง วิตามินดี น้อยคนอาจจะรู้ว่าวิตามินดีก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับผิวที่สวยใส โดยแหล่งรวมที่หาง่ายที่สุดของวิตามินดีก็คือ แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ซึ่งผิวของเราสามารถสังเคราะห์ได้ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ การสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย รวมทั้งครีมกันแดด จึงทำให้คนส่วนใหญ่ขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว สำหรับวิตามินดีนั้น มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันปัญหาการเกิดสิว และการติดเชื้อต่างๆ ส่วนแหล่งรวมของวิตามินดี เช่น น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น

5. วิตามินบี 3 ผิวขาวกระจ่างใส ลดการระคายเคือง
เอาใจคนที่ชื่นชอบและใฝ่ฝันอยากมีผิวกระจ่างใสกันบ้างกับ วิตามินบี3 วิตามินชนิดนี้ช่วยในเรื่องการกระจายเม็ดสีผิว การเร่งการผลัดเซลส์ผิว เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน รวมทั้งลดการสร้างเมลานิน จึงทำให้กระฝ้าจางลง และยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ป้องกันการสูญเสียน้ำได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดการระคายเคือง รอยแดงต่าง ๆ ให้จางลง ส่วนแหล่งรวมวิตามินบี 3 นั้นก็มีทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ครีมบำรุง อาหารประเภทโฮลวีท จมูกข้าวสาลี ไข่ ลูกพรุน เป็นต้น

6. วิตามินบี 5 ช่วยรักษาสิว ให้ผิวนุ่ม
ปิดท้ายกันที่ วิตามินบี 5 หรือที่เรียกกันว่ากรดแพนโทธีนิก อันที่จริงแล้วต้องบอกว่า วิตามินบี 5 พบได้ในปริมาณน้อยในอาหารชนิดต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าจะหายากหรือหาไม่ได้เลย โดยสามารถหาได้ในอาหารประเภท เนื้อไก่ ไต หัวใจสัตว์ ธัญพืชที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี เช่น รำข้าว จมูกข้าวสาลี ส่วนทางด้านคุณสมบัติของวิตามินบี 5 นั้นสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการรักษาสิว ช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างรวดเร็วและล้ำลึก รวมทั้งเพิ่มความเนียนนุ่มให้ผิวน่าสัมผัส แต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าการใช้วิตามินบี 5 นั้น ควรรับประทานในรูปแบบอาหารเสริม หรือครีมที่มีส่วนผสมจะดีที่สุด

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ที่มา www.watsons.co.th


สมองดี ความจำดี เริ่มต้นที่อาหาร

สมองดี เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เพราะสมองมีบทบาทต่อการทำงานของอวัยวะหรือระบบอื่น ๆ ด้วย เช่น ระบบประสาท การเคลื่อนไหวของแขน ขา ไปจนถึงการเดิน การทรงตัว และความจำ ปัจจุบันคนไทยมีความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมองเพิ่มขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป สมองต้องการสารอาหารทั้ง 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการทำงานของสมอง จึงควรรับประทานอาหารให้ได้ครบ 5 หมู่ หลากหลายและไม่มากไม่น้อยจนเกินไป วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของอาหารบำรุงสมองจะมีอะไรบ้างนั้นดูกันเลยค่ะ

คาร์โบไฮเดรต สมองต้องการคาร์โบไฮเดรตในรูปน้ำตาลกลููโคสเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตในรูปที่ไม่ขัดสี เพราะการรับประทานแป้งและน้ำตาลมากเกินไปส่งผลให้สมองเฉื่อย

โปรตีน ทำหน้าที่ช่วยเป็นสารสื่อระหว่างเซลล์กับเซลล์ ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมัน และในหนึ่งสัปดาห์ควรรับประทานปลาน้ำลึกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เนื่องจากมีสารโอเมกา-3 ซึ่งเป็นสารบำรุงสมองที่สำคัญ แต่หลักสำคัญคือ อย่ารับประทานปลาเพียงชนิดเดียว ควรเลือกรับประทานปลาหลากชนิดสลับหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันสารพิษตกค้างที่อาจอยู่ในเนื้อปลา สำหรับปลาในประเทศไทย เช่น ปลาทู ปลากระพง ปลาเก๋า ก็เป็นปลาที่มีโอเมกา-3 เช่นกัน สามารถเลือกรับประทานสลับกันไปได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องรับประทานปลาทะเลทุกมื้อ อาจเปลี่ยนเป็นปลาน้ำจืดบ้าง แต่ควรทำให้สุกเพื่อป้องกันพยาธิและแบคทีเรียต่างๆ โดยวิธีการปรุงอาหารควรใช้การนึ่ง ต้ม หรือย่าง จะดีกว่าการทอด

ไขมัน มีความสำคัญในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและเยื่อบุผิวของเนื้อเยื่อสมอง โดยกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมอง เยื่อหุ้มประสาทสมอง และการทำงานของร่างกาย ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่รู้จักกันดีในชื่อโอเมก้า 3, 6 และ 9 ทั้งนี้ควรเลือกรับประทานเฉพาะไขมันหรือน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว ไขมันทรานส์ เพราะนอกจากไขมันเหล่านี้จะมีผลต่อสมอง โดยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอัลไซเมอร์ถึง 2 เท่าแล้วยังส่งผลร้ายกับหัวใจอีกด้วย

วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองแข็งแรง พบมากในถั่ว งา ข้าวโพด หรืออาหารที่ปรุงจากเมล็ดข้าว เช่น ขนมปังที่ทำจากแป้งไม่ขัดขาวหรือมีธัญพืชผสม พาสตา รวมถึงในข้าวกล้องที่เรารับประทานกันทุกวัน สำหรับในผู้สูงอายุแนะนำให้รับประทานงาคั่วและบด เพราะจะช่วยให้ย่อยได้ดีกว่าการรับประทานเป็นเม็ด

วิตามินบี 5 ช่วยในการถ่ายทอดสัญญาณประสาทเมื่อถูกกระตุ้น พบในเนื้อวัว สัตว์ปีก ไข่ ปลา ธัญพืช รวมถึงนมสดและผลไม้

โคลีน เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงสมอง มีอยู่ในอาหารจำพวกข้าวกล้อง ข้าวโพด ซึ่งมีมากในส่วนที่เป็นจมูกข้าวโพด ในคนที่ชอบรับประทานข้าวโพดฝานมักจะไม่ได้รับโคลีน ดังนั้นควรใช้มีดฝานลงไปให้ลึกถึงซังข้าวโพดเพื่อให้ได้รับโคลีน นอกจากนี้ โคลีนยังพบได้ในไข่แดง ซึ่งคนที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงต้องระวังไม่รับประทานมากเกินไป

วิตามินบี 6 ช่วยในการผลิตสารเคมีในสมอง พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ธัญพืช

วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ และบำรุงเนื้อเยื่อประสาท พบได้แต่เฉพาะในเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ ในคนที่ขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจึงควรหมั่นตรวจว่ามีโรคของวิตามินบี 12 ต่ำหรือไม่ ถ้าต่ำแพทย์อาจให้รับประทานวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดเพิ่มเติม

กรดโฟลิก จำเป็นต่อระบบรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกในสมอง พบมากในกล้วย ส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี แคนตาลูป ผักใบเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง หรือถั่วลันเตา และเป็นกรดที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ช่วยในการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกจากแม่ไปสู่ลูก

แมงกานีส เป็นเกลือแร่ที่ช่วยดูแลสุขภาพของสมองและระบบประสาท พบมากในอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม แต่ต้องระวังในเรื่องของคอเลสเตอรอลและแบคทีเรียในกรณีที่รับประทานสด

แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม เป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท พบในผักใบเขียวและผลไม้ เช่น กล้วยหอม สับปะรด ทั้งนี้การรับประทาน ผัก ผลไม้จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง และป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

สารแคปไซซิน มีอยู่ในเม็ดพริก ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนผ่านเส้นเลือดขนาดเล็กในสมองได้ดี ควรรับประทานพริกสดมากกว่าพริกป่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อราอะฟลาทอกซิน แต่ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารควรระมัดระวัง เพราะพริกอาจทำให้เป็นแผลมากขึ้น

วิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม จึงอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ สารต้านอนมูลอิสระนี้พบในผัก ผลไม้ และถั่วต่างๆ ควรรับประทานผักผลไม้สีเข้มๆ ต่างชนิดกันไป

ขมิ้น มีสารเคอร์คูมิน ช่วยต้านการอักเสบและลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลไซเมอร์ มีงานวิจัยที่พบว่าชาวอินเดียมีอัตราการเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากใช้ขมิ้นประกอบอาหารกันมาก

ที่มา www.bumrungrad.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


ส้มยูซุกับ 15 คุณประโยชน์จัดเต็ม

ส้มยูซุ (Yuzu) เป็นผลไม้ในวงศ์ส้ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Citrus junos  ผลสีเหลืองอย่างเลมอน มีรสชาติคล้ายเกรปฟรุตและส้มแมนดาริน ส้มยูซุเป็นพืชที่ชอบแสงอาทิตย์ พื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นจะให้ผลผลิตส้มยูซุที่ดี รสชาติจะหวานกลมกล่อม แต่ถ้าเป็นส้มยูซุที่เติบโตในอากาศเย็นจะไม่ได้รสชาติที่หวานนักแต่มีกลิ่นหอมมากกว่า คนญี่ปุ่นนิยมนำส้มยูซุมาใช้แต่งกลิ่นและรสชาติอาหาร บ้างก็ใช้แค่ผิวส้มยูซุเพื่อทำให้อาหารมีกลิ่นหอมสดชื่นน่ากินมากขึ้น

Yuzu (ยูซุ)  ส้มชนิดนี้จะเป็นผลไม้ที่ปลูกในบริเวณที่มีอากาศร้อนชื้น บริเวณชายฝั่งทะเล พบมากในประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น เอกลักษณ์ของส้มชนิดนี้คือ เม็ดใหญ่ ผิวขรุขระ ที่สำคัญคือเปลือกหนา เนื้อน้อย จึงเป็นส้มที่ไม่นิยมกินเนื้อ แต่ในข้อเสียก็มีข้อดี ตรงที่เปลือกหนานั้นจะทำให้ส้ม มีน้ำมันผิวส้มเยอะมากเป็นพิเศษ มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หอมมาก ไม่เหมือนส้มอื่นๆ อีกทั้งยังมีวิตามินและสารอาหารมากเป็นพิเศษ

– ส้มยูซุมีวิตามินซี ซึ่งมีสูงกว่ามะนาวถึง 3 เท่า
– ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวเต่งตึง มีความยืดหยุ่น
– ช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
– ส้มยูซุมีมีกรดซิตริคสูง สามารถป้องกันไวรัส ช่วยลดอาการหวัด ไอ เจ็บคอ และปวดศรีษะ
– ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ป้องกันโรคติดเชื้อได้
– ช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจ
– ส้มยูซุประกอบด้วยสาร โนมีลิน (nomilin) ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง
– ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยในการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
– ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส
– ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ
– ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้าน
– ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงการเกิดโรคต้อกระจก
– ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
– ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
– ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือด

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


 

5 วิตามินบำรุงสายตา ตาใสปิ๊งจนต้องร้องขอ

สาวหนุ่มวัยทำงานที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา อาจเกิดปัญหาหลายๆ อย่างกับดวงตา เช่น ตาแห้ง ตาพร่า ตาแพ้แสง กล้ามเนื้อตาล้า ซึ่งหากไม่อยากให้ลุกลามกลายเป็นปัญหาสุขภาพ ก็ควรต้องใช้วิธีป้องกันเอาไว้ นอกจากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์แล้ว วิตามิน บำรุงสายตา พวกนี้ก็อาจช่วยได้เช่นกัน วันนี้ SI มีบทความดีๆ ของ 5 วิตามินที่จะช่วยบำรุงสายตาเรามาฝากกันค่ะ

โอเมก้า 3
จะช่วยลดการอักเสบในเปลือกตา หรือบนผิวดวงตา และยังช่วยให้น้ำตาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอเมก้า3 จะช่วยเรื่องการทำงานของต่อมน้ำตา (meibomian) ซึ่งจะผลิตน้ำมันในตาป้องกันอาการตาแห้ง เราจะได้รับโอเมก้า 3 จากการกินอาหารโดยเฉพาะปลา ปลาจะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่ว่าจะเป็นปลาทูน่า ปลาเซลมอล หรือปลาซาดีน นอกจากนี้ยังสามารถกินวิตามินโอเมก้า 3 ได้

ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin)
สารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยกำจัดต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคในดวงตา นอกจากนี้ลูทีนและซีแซนทีนยังช่วยให้ดวงตามีสุขภาพดีและทำงานได้อย่างดีเยี่ยมด้วย ในอาหารเช่น ไข่ ข้าวโพด หรือผักใบเขียวอย่าง ผักขม บล็อกโคลี จะมีลูทีนและซีแซนทีน หรือสามารถกินวิตามินลูทีนและซีแซนทีนในรูปอาหารเสริม ข้อควรระวังคือไม่ควรกินลูทีนเกิน 10 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรกินซีแซนทีนเกิน 2 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามิน เอ
ประโยชน์ของวิตามิน เอ ต่อดวงตาคือ ช่วยปรับปรุงการมองเห็น มีผลการวิจัยที่แนะนำว่าการกินวิตามินเอ จะช่วยชะลอการเกิดโรคที่ทำร้ายจอประสาทตา (retina) ได้ นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ โรคต้อหิน ต้อกระจก และปัญหาเกี่ยวกับดวงตาอื่นๆ อีกด้วย ข้อควรระวังในการกินวิตามินเอคือ ไม่ควรกินเกิน 1,000 หน่วยต่อวัน ถ้ากินวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม หรือโรคเกี่ยวกับกระดูกสะโพกได้

ซิงก์ (สังกะสี)
ซิงก์ หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ เพราะซิงก์ทำงานร่วมกับวิตามินเอ การทำงานของซิงก์คือ ซิงก์จะพาวิตามินเอจากตับไปที่จอประสาทตา เพื่อสร้างเซลล์เมลานิน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะปกป้องดวงตาของเรา ถ้าร่างกายขาดซิงก์ ก็จะทำให้ดวงตาเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างซิงก์ได้เอง เราจึงได้รับแร่ธาตุซิงก์จากการกินอาหาร เช่น หอยนางรม เนื้อวัว เนื้อหมู โยเกิร์ต นม ไข่ หรือกินซิงก์จากอาหารเสริม ข้อควรระวังในการกินซิงก์ก็คือ ต้องไม่กินเกิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน หากกินมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาผิวได้ และบางคนก็อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น อาเจียนหรือท้องเสีย ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อมากินเอง

วิตามินซี
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีกรดแอสคอร์บิกที่สำคัญต่อเส้นเลือดในดวงตาของเรา วิตามินซีช่วยป้องกันโรคต้อกระจก เราสามารถได้รับวิตามินซีผ่านผลไม้ตระกูลมะนาว เช่น ส้ม องุ่น มะเขือเทศ กล้วย หรือแอปเปิ้ล ข้อแนะนำคือผู้หญิงควรกินวิตามินซีอย่างน้อยวันละ 75 มิลลิกรัม หรือประมาณน้ำส้มคั้น 1 แก้ว ส่วนผู้ชายควรได้รับวิตามินซีมากกว่าผู้หญิงประมาณ 90 มิลลิกรัมต่อวัน

ที่มา : sanook.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


10 ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยดีๆ เรื่องสุขภาพ

น้ำมันมะพร้าวที่ถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมาก­กว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า กินแล้วดีจริงหรือ เพราะถึงจะมีสรรพคุณต่อสุขภาพอันน่าทึ่งหลายประการ แต่ก็ยังเป็นน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ดี หากกินมาก ๆ อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภา­พในเรื่องใดบ้าง ตาม SI ไปดูกันเลยค่ะ

1. ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น

น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง ซึ่งถูกดูดซึมและเผาผลาญเป็นพลังงานได้ดี กว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ ที่เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (long chain fatty acid)

2. กระตุ้นการขับถ่าย

น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มปริมาณของแบคทีเรียดีในลำไส้ จึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดกิน เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย

3. บำรุงกำลัง

น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย

4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม

หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม น้ำมันมะพร้าวจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต

5. บำรุงกระดูก

สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความ­แข็งแรงของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ แตกหักง่าย

6. บำรุงครรภ์

น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้­งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ ทั้งนี้ คุณแม่สามารถรับประทานได้ไม่เกินวันละ 1 ช้อนโต๊ะ

7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น

ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อ­ยจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด และอาการอ่อนเพลีย

8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ

น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจ­ากการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ

9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก

น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง

10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ 92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง

ที่มา : health.kapook.com

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


เจาะลึก! โพรไบโอติกส์กับประโยชน์จัดเต็ม

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) เป็นแบคทีเรียกับยีสต์ที่มีชีวิตที่พบได้ตามธรรมชาติในลำไส้หรือจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ มักเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “แบคทีเรียดี” เพราะมีส่วนช่วยให้ลำไส้แข็งแรง โพรไบโอติกส์ที่ใช้กันมากในประเทศสหรัฐอเมริกา คือ แล็คโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ซึ่งสามารถบริโภคได้ในรูปของอาหารเสริม อาหาร ครีม ยาเหน็บ และรูปแบบอื่นๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจุลินทรีย์เหล่านี้ทำงานในลำไส้อย่างไรบ้างตาม SI ไปดูกันค่ะ

– ลดจำนวนแบคทีเรีย “ไม่ดี”
– เสริมสร้างแบคทีเรีย “ดี”
– ฟื้นฟูสมดุลแบคทีเรียที่มีประโยชน์
– กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
– รักษาปัญหาของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง อาการท้องผูก อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (UC) และโรคโครนห์ (Crohn’s disease)

– ป้องกันฟันผุหรือรักษาสุขภาพช่องปากอื่นๆ
– ปรับการทำงานของสมอง
– ป้องกันโรคภูมิแพ้
– ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
– ลดความดันโลหิต
– ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหรือโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (UTI)
– ป้องกันการติดเชื้อยีสต์
– บรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงินหรือโรคผิวหนังอักเสบ
– ช่วยในกลุ่มอาการเพลียเรื้อรัง

ที่มา : honestdocs.co

หากท่านใดต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


คอลลาเจน ใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ก่อนอื่นเลยเราต้องมาทำความรู้จักกับคอลลาเจนกันก่อน จริง ๆ แล้วคอลลาเจนมีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้วนั่นแหละ เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในกระดูก กระดูกอ่อน เอ็นกล้ามเนื้อ ขน เส้นผม และเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่คอลลาเจนจะเริ่มเสื่อมสลายไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผม ผิว และกระดูกข้อต่อเราเริ่มไม่แข็งแรง การกินอาหารเสริมคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้เสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายให้กลับคืนมา จริง ๆ แล้วคอลลาเจนมีมากกว่า 16 ชนิด แต่หลัก ๆ ที่จำเป็นก็จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด วันนี้ SI จะพาทุกคนไปรู้จัก 4 ชนิดของคอลลาเจนที่จำเป็นต่อร่างกาย ไปดูกันค่ะ

Collagen Type 1 หรือคอลลาเจนประเภทที่ 1 ที่พบได้ที่ชั้นหนังแท้ เอ็น พังผืด เนื้อกระดูกแข็ง พบได้เฉพาะในสัตว์ชั้นสูงเท่านั้น ฉะนั้นการกินคอลลาเจนประเภทนี้จึงช่วยเรื่องผิวเน้น ๆ ค่ะ

Collagen Type 2 ตัวนี้นี่แหละค่ะที่สำคัญกับกระดูกข้อต่อ เพราะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระตุ้นให้มีการสังเคราะห์เซลล์ใหม่ ช่วยลดอาการปวดข้อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้สะดวก การกินคอลลาเจนประเภทนี้จึงช่วยเรื่องข้อโดยตรง

Collagen Type 3 ตัวนี้ก็ส่งเสริมการทำงานบนผิวเช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า เนื่องจากว่าตัวเขาจะอยู่ในเฉพาะผิวใหม่ ผิวเด็ก ผิวที่เป็นแผลที่สร้างใหม่เท่านั้นเอง

Collagen Type 4 ส่วนตัวนี้จะพบได้ในเส้นใยฝอยของเยื่อบุผิวแผ่นบาง ๆ ในบริเวณนอกเซลล์

แล้วใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มาก ดังนั้นคอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ส่วนครีมต่างๆ ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ก็จะเป็นการผลักคอลลาเจนให้อยู่ได้แค่ชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัวมันจึงทำให้ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจน จะต้องเข้าสู่ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทาน โดยในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนนั้นก็ได้เพียงเฉพาะที่เท่านั้น เพราะอย่างนั้น “การรับประทานน่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุด”

ที่มา : www.wongnai.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


 

6 สมุนไพรตัวเทพตัวช่วยผลิตคอลลาเจน

คอลลาเจน คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของ กรดอะมิโน (Amino Acid) หลายชนิดต่อกัน โดยปกติร่างกายมนุษย์จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น ขน และเส้นผม รวมไปถึงเนื้อเยื่อทั้งหมดในร่างกาย โดยคอลลาเจนจะผลิตได้มากในขณะที่เราอายุยังน้อย และจะค่อยๆ ลดปริมาณการผลิตลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เมื่อปริมาณคอลลาเจนลดลงก็จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ กับผิวพรรณ เช่น ผิวพรรณขาดความกระชับ หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และเกิดความหมองคล้ำ จึงทำให้คนส่วนมากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนมาทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง วันนี้ SI มี 6 สมุนไพรที่ช่วยการผลิตคอลลาเจน จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันค่ะ

ว่านหางจระเข้ (Aloe) มีส่วนในการรักษาบาดแผลโดยการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน

บิลเบอร์รี่ (Bilberry) มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้คอลลาเจนคงตัว

ดาวเรือง (Calendula) นักวิจัยเชื่อว่าครีมดาวเรืองจะช่วยรักษาแผลและช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้

หญ้าหางม้า (Horsetail) มีซิลิกา (Silica) เป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการเพื่อผลิตคอลลาเจนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

น้ำเต้า (Bottle gourd) มีสารไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยป้องกันริ้วรอย อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย

กวาวเครือขาว มีสารกลุ่มไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) และโครมีน (Chromene) ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จากงานวิจัยพบว่า ไฟโตเอสโทรเจนและเอสโตรเจนจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง

ที่มา : www.honestdocs.co

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


วิตามินซี ตัวช่วยป้องกันไวรัส

วิตามินซี (Vitamin C) หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินที่หลายคนรู้จักดี โดยจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน บำรุงผิว ชะลอการเสื่อมของเซลล์ภายในร่างกาย อีกทั้งยังอาจช่วยบรรเทาอาการจากการติดเชื้อไวรัสได้ด้วย

เมื่อเอ่ยถึงวิตามินซี อีกสรรพคุณที่โดดเด่นของวิตามินชนิดนี้ คือ การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยระบบภูมิคุ้มกันของคนเรานั้นมีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรค ทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้น การได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอต่อวันก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ

ท่ามกลางโรคภัยชนิดใหม่เกิดขึ้นมากมายในทุกวันนี้ หากมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงก็ย่อมดีกว่า เพราะอาจช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรคและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นอีกมากมาย โดยในบทความนี้ได้รวบรวมสรรพคุณเหล่านั้นมาให้ได้ศึกษากัน

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เม็ดเลือดขาวเป็นหนึ่งในสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibody) ของร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ในการต่อต้านและกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อเม็ดเลือดขาวทำลายเชื้อแปลกปลอมสำเร็จ เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันก็จะจดจำวิธีการในการตอบสนองต่อเชื้อโรคชนิดนั้น จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจลดความรุนแรง ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ หรือการป่วยจากเชื้อชนิดเดิมซ้ำได้ หากได้รับวิตามินซีก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือสูบบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงจนทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดโรคหรือทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้

การดูดซึมวิตามินซี
สารอนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นจากกลไกตามธรรมชาติของร่างกายร่วมกับการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก หากสารอนุมูลอิสระมีอยู่มากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลของร่างกาย (Oxidative Stress) โดยอาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์และยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามร่างกาย จึงอาจไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคและปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่ระดับที่ไม่รุนแรงหรือโรคเรื้อรังไปจนถึงโรคร้ายแรงหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง วิตามินซีเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถต่อต้านและลดระดับของสารอนุมูลอิสระได้ เมื่อสารอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงและกลับมาอยู่ในระดับปกติ ร่างกายก็มีความสมดุลมากขึ้น จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบและความเสียหายเรื้อรังของเซลล์ภายในร่างกาย

ปริมาณการกินวิตามินซีที่เหมาะสม
วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีผลเสียต่อร่างกายน้อย สามารถทานได้ทุกวัน ปริมาณที่แนะนำต่อวันจะแตกต่างกันไป ตามเพศ ความต้องการของแต่ละช่วงวัย ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และให้นมลูก ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความต้องการวิตามินซีสูงขี้น การกินวิตามินซีไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากทานในปริมาณที่พอเหมาะ การทานวิตามินซีในปริมาณสูงๆ มากเกินไป ติดต่อกัน อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ปัสสาวะบ่อย ไม่สบายท้อง ปวดมวน ท้องเสีย

ปริมาณวิตามินซีที่แนะนำต่อวัน 
– ผู้หญิงที่สุขภาพดีอยู่แล้ว 75 มิลลิกรัม
– คุณแม่ให้นมบุตร 120 มิลลิกรัม
– ผู้ใหญ่ทั่วไปไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม
– ผู้มีประวัติโรคตับหรือไต โรคเกาต์ โรคนิ่ว ไม่ควรใช้เกิน 1,000 มิลลิกรัม

กินวิตามินซีตอนไหนดี
ความจริงแล้วการกินวิตามินซี จะทานช่วงเวลาไหนก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ทานพร้อม หรือหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้น และป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นกับระบบย่อยอาหาร

ผลิตภัณฑ์วิตามินซีในปัจจุบัน
เนื่องจากวิตามินซีเป็นสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ต้องได้รับจากการกินอาหารเท่านั้น นอกจากการกินอาหารประเภทผักและผลไม้เป็นประจำแล้ว การกินวิตามินซีในรูปแบบของอาหารเสริม ทั้งแบบแคปซูล แบบเม็ดสำหรับกิน เคี้ยว แบบเม็ดฟู่ผสมน้ำ และเครื่องดื่มเสริมวิตามินซีก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีให้กับร่างกาย เพียงแต่ต้องเลือกให้เหมาะกับช่วงวัย กะปริมาณการทานให้เหมาะสม โดยดูถึงส่วนผสมอื่นๆ ที่มากับผลิตภัณฑ์ด้วย

ที่มา : lovefitt.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


วิตามินบี ตัวช่วยดีๆ เรื่องสุขภาพ

วิตามินบีเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายและระบบประสาท โดยจัดเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้ดีและมักไม่สะสมภายในร่างกาย คนเราจึงจำเป็นต้องได้วิตาบินบีอย่างเพียงพอในทุก ๆ วัน เพื่อสุขภาพที่ดี ในปัจจุบันมีการนำวิตามินบีชนิดต่าง ๆ มารวมอยู่ในเม็ดเดียวกันหรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินบีรวม ซึ่งง่ายต่อการรับประทาน และแต่ละชนิดก็มีคุณประโยชน์ที่แตกต่างกันไป หากอยากทราบว่าวิตามินตัวไหนช่วยอะไรได้บ้าง สามารถติดตามได้จากบทความนี้ ตาม SI ไปดูกันเลยค่ะ

วิตามินบีมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

วิตามินบี 1
วิตามินบี 1 มีอีกชื่อว่าไธอามีน (Thiamine) จะมีหน้าที่ในกระบวนการสร้างพลังงานจากสารอาหารในร่างกาย อีกทั้งอาจช่วยให้สมองและระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น โดยพบมากในข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี นมถั่วเหลือง ถั่ว งา เมล็ดทานตะวัน และเนื้อหมู

วิตามินบี 2
วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย สร้างพลังงานให้กับร่างกายจากกระบวนการย่อยอาหาร และอาจช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งไรโบฟลาวินนั้นพบมากในไข่ไก่ เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ เห็ด ผักใบเขียวอย่างบรอกโคลีและผักโขม

วิตามินบี 3
วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนชะลอการเสื่อมของร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย เสริมการทำงานของสมอง โดยไนอะซินพบได้ในข้าวกล้อง ถั่วลิสง เนื้อไก่ ตับ ปลาทูน่า และปลาแซลมอน

วิตามินบี 5
วิตามินบี 5 หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic Acid) นอกจากจะช่วยในกระบวนการย่อยอาหารแล้ว ยังช่วยในการสร้างและสลายไขมัน เสริมสร้างการผลิตฮอร์โมน รวมทั้งช่วยบำรุงผม เล็บ และผิวให้สุขภาพดีขึ้นด้วย กรดแพนโททินิกพบได้ในข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน เห็ด มันฝรั่ง บรอกโคลี อาหารทะเล เครื่องใน นม ไข่ และโยเกิร์ต

วิตามินบี 6
วิตามินบี 6 หรือ ไพริดอกซีน (Pyridoxine) ช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกายเสริมสร้างการผลิตเม็ดเลือดแดง อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างสารสื่อประสาทและอาจช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์ให้ดีขึ้น โดยวิตามินบี 6 พบมากในเครื่องในสัตว์ อกไก่ มันฝรั่ง กล้วย และถั่วลูกไก่

วิตามินบี 7
วิตามินบี 7 หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ไบโอติน (Biotin) จัดเป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนในการบำรุงสุขภาพและร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเล็บ เส้นผม ผิวหนัง ดวงตา และสมอง อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ไบโอตินนั้นมักพบได้จากอาหารอย่างไข่แดง ตับ ไต ถั่วลิสง อัลมอนด์ ถั่วเหลือง ดอกกะหล่ำ หรือกล้วย

วิตามินบี 9
วิตามินบี 9 หรือ โฟเลท (Folate) เป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะโฟเลทมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์ คุณแม่ที่ได้รับโฟเลทอย่างเพียงพออาจลดความเสี่ยงของความผิดปกติของทารกในระหว่างตั้งครรภ์ สำหรับคนทั่วไปก็เป็นสารอาหารที่จำเป็นเช่นกัน เพราะช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นและลดความเหนื่อยล้าจากภาวะโลหิตจาง โดยโฟเลทสามารถพบได้ในตับ ถั่ว ไข่ มะละกอ กล้วย อะโวคาโด ผักใบเขียวอย่างผักปวยเล้งและบรอกโคลี

วิตามินบี 12
วิตามินบี 12 หรือโคบาลามีน (Cobalamin) มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงด้านปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ภาวะเลือดจาง ภาวะผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ โรคสมองเสื่อม และภาวะผิดปกติทางอารมณ์ โดยโคบาลามีนนั้นมีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง อีกทั้งยังทำปฏิกิริยากับสารสื่อประสาทที่มีผลต่ออารมณ์ในทางที่ดีขึ้น โดยพบได้มากในอาหารประเภทไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ปลา นม โยเกิร์ต หรือชีส

ที่มา : pobpad.com

หากท่านใตต้องการสร้างแบรนด์หรือสั่งผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพผสานนวัตกรรมและสารสกัดจากธรรมชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น เราคือผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสรรสร้างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล รวมทั้ง มาตรฐาน LEED อาคารสีเขียว เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต จนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิจัยและพัฒนาระดับมืออาชีพ  เพียงคุณนำความฝันของคุณมาหาเรา เราพร้อมสร้างแบรนด์ให้คุณได้อย่างมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน