วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2564 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารของกระทรวงเข้าเยี่ยมชมการดำเนินโครงการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและสมุนไพรไทยโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ที่บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยมี รศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทสเปเชียลตี้ให้การต้อนรับ และร่วมหารือแนวทางการสนับสนุนอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดโลก ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศให้เป็นวาระชาติตั้งแต่ปี 2564 นี้ โดยอาศัยความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนานาชาติว่ามีคุณสมบัติพิเศษมากมาย ร่วมกับงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาสารสกัดสมุนไพรไทยชนิดต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง และได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับสากล ผลิตเป็นเครื่องสำอาง อาหารเสริม ยาและเครื่องมือแพทย์ ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ตลอดจนอุตสาหกรรมในห่วงโซ่คุณค่า ตัวอย่างเช่นกระชายดำ มีราคาประมาณ 150 บาทต่อกิโลกรัม และมีผลผลิต 1,500 กิโลกรัมต่อไร่ จะสร้างรายได้ให้แก่เกตรกรเมื่อหักต้นทุนแล้วไม่ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อไร่ และมูลค่าของกระชายดำเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นสารสกัดที่มีสารออกฤทธิ์ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย จะมีมูลค่าเพิ่มสูงมากกว่า 100,000 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นนี้คือรายได้ที่เพิ่มขึ้นของทั้งเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมไทยไม่น้อยกว่าร้อยเท่าตัว นับเป็นแนวทางการทำงานแบบ “ทำน้อย ได้มาก” อย่างเป็นรูปธรรม
“ผมรู้สึกดีใจที่ได้มาเยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัทฯ และขอชื่นชมบริษัทที่เป็นผู้นำในการนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาต่อยอดกับสมุนไพรไทย เพื่อผลิตสารสกัดและสูตรผสมของสารสกัดที่มีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานระดับสากล เป็นที่ยอมรับของบริษัทชั้นนำระดับโลก สามารถส่งออกสารสกัดเพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอาง อาหารเสริม รวมไปถึงยา สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีทั้งความรุ่มรวยทางทรัพยากรธรรมชาติ มีสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบติพิเศษ รวมทั้งคนไทยก็มีความสามารถ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่ได้เห็นคนไทยต่อยอดนวัตกรรมนำสมุนไพรไทยไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล กระทรวง อว. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการนำองค์ความรู้ไปสนับสนุนเกษตรกรและอุตสาหกรรมไทยให้พัฒนาตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์สมุนไพรและวิธีการปลูกที่ลดการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิต รวมไปถึงกระบวนการสกัดสารออกฤทธิ์ต่างๆ และการวิเคราะห์ทดสอบให้ได้มาตรฐาน ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ผมอยากให้คนไทยทุกคนเชื่อมั่นในศักยภาพของสมุนไพรไทยและความสามารถของคนไทยในการนำสมุนไพรไทยผสานกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกิดเป็นนวัตกรรมจากสมุนไพรไทย ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ที่ใดในโลก” นายเอนก กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณ
กลุ่มสื่อสารองค์กร กองกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ที่มา : https://www.mhesi.go.th/index.php/pr-executive-news/3352-1903641.html